tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post2178963606872965659..comments2023-11-28T15:37:13.009+07:00Comments on เว็บไซต์การเรียนรู้ ประภัสรา โคตะขุน: การเรียนแบบร่วมมือPrapasara.Comhttp://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-87401492863136320532011-02-24T17:12:27.271+07:002011-02-24T17:12:27.271+07:003. แบบ Student Teams-Achievement Division (STAD)
...3. แบบ Student Teams-Achievement Division (STAD) <br />ขั้นที่ 1-3 : มีลักษณะเหมือนกับแบบ TGT คือ <br />- จัดนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ แบบคละกัน กลุ่มละ 3-4 คน <br />- ใช้แบบฝึกหัด (worksheet) ชุดเดียวกับ TGT <br />STAD ต่างกับแบบ TGT ตรงที่ <br />ขั้นที่ 4 : สำหรับ STAD นักเรียนแต่ละคนจะทำการทดสอบแทนการแข่งขัน <br />ตอบปัญหา <br />ขั้นที่ 5 : ทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจากการทดสอบจะติดประกาศไว้ในมุม <br />จดหมายข่าวของห้อง <br /><br /><br />4. แบบ Teams-Assisted Individualization (TAI) <br />ขั้นที่ 1 : จัดนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ แบบคละกัน กลุ่มละ 2-4 คน <br />ขั้นที่ 2 : ครูอธิบายทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้ว และให้นักเรียนแต่ละคน <br />ทำแบบฝึกหัดที่ 1 (worksheet No.1) ที่ครูเตรียมไว้แล้ว <br />ขั้นที่ 3 : ให้นักเรียนจับคู่กันภายในกลุ่มของตนเอง <br />- แลกเปลี่ยนแบบฝึกหัดที่ 1 เพื่อตรวจสอบ อธิบายข้อสงสัย <br />- ถ้านักเรียนคู่ใดทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้อง 75% ขึ้นไป <br />ให้ทำแบบฝึกหัดที่ 2 (worksheet No.2) <br />- ถ้านักเรียนคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่ ทำแบบฝึกหัดที่ 1 ได้ <br />แต่น้อยกว่า 75% ให้นักเรียนทั้งคู่ทำแบบฝึกหัดชุดที่ 3 หรือ 4 <br />จนกว่าจะทำได้ถูกต้อง 75% ขึ้นไปจึงจะผ่าน <br />ขั้นที่ 4 : นักเรียนทุกคนทำการทดสอบ คะแนนที่ได้จากการทดสอบของ <br />นักเรียน แต่ละคนจะนำมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่มหรือใช้คะแนน <br />เฉลี่ย ในกรณีที่สมาชิกในกลุ่มมีจำนวนไม่เท่ากัน <br />ขั้นที่ 5 : กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะติดประกาศไว้ที่มุมข่าวหน้าห้อง <br /><br /><br />5. แบบ Learning Together (LT) <br />วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมกับการสอนเรื่อง รูปทรงเลขาคณิตหรือการทำงานที่มี <br />การทำ การทดลองมาเกี่ยวข้อง โดยมีขั้นตอน ดังนี้ <br />ขั้นที่ 1 : ครูและนักเรียน อภิปรายและสรุปเนื้อหา <br />ขั้นที่ 2 : แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มคละกัน กลุ่มละ 4-5 คน ครูแจกใบงานกลุ่มละ <br />1 แผ่น (ถ้ามีอุปกรณ์ไม่พอ ให้นักเรียนใช้ระบบการเวียนฐาน) <br />ขั้นที่ 3 : แบ่งหน้าที่ของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่ม ดังนี้ <br />คนที่ 1 : อ่านโจทย์หรือคำสั่งให้ดำเนินงาน <br /><br />คนที่ 2 : ฟังโจทย์ ดำเนินงานและจดบันทึกข้อมูล <br />คนที่ 3 : อ่านคำถามและหาคำตอบ <br />คนที่ 4 : ตรวจคำตอบ (ข้อมูล) <br />ขั้นที่ 4 : แต่ละกลุ่มส่งกระดาษคำตอบเพียงแผ่นเดียว นับเป็นกิจกรรม <br />ที่สำเร็จ <br />- แต่ละกลุ่มส่งงาน 1 ชิ้น ผลงานที่เสร็จแล้วเป็นผลงานที่ทุกคน <br />ยอมรับ ซึ่งทุกคนในกลุ่มได้คะแนนเท่ากัน <br />- กำหนดเกณฑ์การตัดสินหรือเกณฑ์การให้คะแนน <br />เพราะนักเรียนจะเป็นผู้ให้คะแนน ถ้ามีปัญหาครูจึงให้คำแนะนำ <br />ขั้นที่ 5 : ปิดประกาศชมเชยกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด <br /><br /><br /><br />6. Group Investigation (GI) <br />ขั้นที่ 1 : ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย ทบทวนบทเรียนที่สอน <br />ขั้นที่ 2 : แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 2 – 4 คน แบ่งเรื่องที่สอนเป็นข้อย่อย <br />แต่ละหัวข้อจะเป็นใบงานที่ 1 ใบงานที่ 2 ใบงานที่ 3 เป็นต้น <br />ขั้นที่ 3: ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกทำเพียงหัวข้อเดียว (ใบงานเพียงใบเดียว) <br />โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนที่เรียนอ่อนเลือกหัวข้อก่อนการทำใบงาน <br />อาจจะให้นักเรียนในกลุ่มแบ่งกันหาคำตอบ และนำคำตอบทั้งหมด <br />มารวมเป็นคำตอบที่สมบูรณ์ <br />ขั้นที่ 4 : นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายเรื่องจากใบงานที่ได้จนเป็นที่ <br />เข้าใจของทุกคนในกลุ่ม <br />ขั้นที่ 5 : ให้แต่ละกลุ่มรายงานผลเริ่มตั้งแต่กลุ่มที่ทำจากใบงานที่ 1 จนถึง <br />ใบงานสุดท้าย โดยให้คำชมเชยและรางวัลแก่กลุ่มที่ถูกต้องที่สุด <br /><br /><br /><br />หมายเหตุ การสอนแบบ Cooperative Learning ควรเริ่มวิธีสอนแบบ Team <br />Assisted Individualization (TAI) ไม่ควรเริ่มวิธีสอนแบบ Jigsaw <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-34873480691914146692011-02-24T17:11:57.201+07:002011-02-24T17:11:57.201+07:00สำหรับวิธีการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้จากกลุ่มนั้น...สำหรับวิธีการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้จากกลุ่มนั้น มีหลากหลาย เช่น <br />Jigsaw, Teams-Games-Tournament (TGT) , Student Teams-Achievement <br />Division (STAD) , Team Assisted Individualization (TAI) , Learning Together (LT) , <br />Group Investigation (GI) ,Think-Pair-Square , Think-Pair-Share Pair Check , Three- <br />Step-Interview , Number Head Together ฯลฯ โดยมีวิธีที่นิยมใช้อยู่ 6 วิธี คือ <br />1) Jigsaw <br />2) Teams-Games-Tournament (TGT) <br />3) Student Teams-Achievement Division (STAD) <br />4) Team Assisted Individualization (TAI) <br />5) Learning Together (LT) <br />6) Group Investigation (GI) <br />รายละเอียดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของแต่ละวิธีโดยสังเขป เป็นดังนี้ <br /><br /><br />1. แบบ Jigsaw <br />ขั้นที่ 1 : ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยๆ ให้เท่ากับจำนวนสมาชิกในกลุ่ม <br />ขั้นที่ 2 : จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็น <br />Home Groups กลุ่มละ 3-4 คน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม <br />อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตน ได้รับมอบหมายเท่านั้น เช่น <br />นักเรียน A1 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1 <br />นักเรียน A2 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2 <br />นักเรียน A3 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3 <br />นักเรียน A4 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 4 <br />ขั้นที่ 3 : Expert Groups นักเรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน <br />เพื่อทำงาน ซักถาม และทำกิจกรรมกลุ่ม Expert Groups ตัวอย่าง <br />คนที่ 1 อ่านโจทย์ <br />คนที่ 2 จดบันทึกข้อมูลสำคัญที่โจทย์กำหนดให้ <br />อธิบายว่าโจทย์ ต้องการให้อะไร <br />คนที่ 3 คำนวณหาคำตอบ <br />คนที่ 4 สรุปทบทวนขั้นตอนทั้งหมด <br />ตรวจสอบคำตอบอีกครั้ง <br /><br />เมื่อนักเรียนทำแต่ละข้อเสร็จแล้ว ให้นักเรียนหมุนเวียน <br />เปลี่ยนหน้าที่กัน แล้วทำโจทย์ข้อถัดไปจนครบทุกข้อ <br />ขั้นที่ 4 : นักเรียนแต่ละคนใน Expert Groups กลับมายังกลุ่มเดิม (Home <br />Groups) ของตนเอง แล้วผลัดกันอธิบายให้สมาชิกในกลุ่มฟัง <br />เริ่มจากหัวข้อย่อยที่ 1, 2, 3 และ 4 ตามลำดับ <br />ขั้นที่ 5 : ทำการทดสอบ (Quiz) หัวข้อย่อยที่ 1-4 แก่นักเรียนทุกคนทั้งห้อง <br />(สอบเดี่ยว) แล้วนำคะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม <br />มารวมกันเป็น “คะแนนกลุ่ม” <br />ขั้นที่ 6 : กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบครั้งนี้ จะติดประกาศเป็นมุม <br />จดหมายของห้อง <br /><br /><br />2. แบบ Teams-Games-Tournaments (TGT) <br />ขั้นที่ 1 : ครูทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้วครั้งก่อนด้วยการซักถาม <br />และอธิบายตอบข้อสงสัยของนักเรียน <br />ขั้นที่ 2 : จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Teams) กลุ่มละ 3-4 คน <br />ขั้นที่ 3 : แต่ละทีม ศึกษาหัวข้อที่เรียนจากแบบฝึก (Work Sheet and <br />Answer Sheet) นักเรียนแต่ละคนทำหน้าที่และปฏิบัติตาม <br />กติกาของ Cooperative Learning เช่น เป็นผู้จดบันทึก ผู้คำนวณ <br />ผู้สนับสนุน เป็นต้น เมื่อสมาชิกทุกคน เข้าใจและสามารถ <br />ทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องทุกข้อ ทีมจะเริ่มทำการแข่งขันตอบปัญหา <br />ขั้นที่ 4 : การแข่งขันตอบปัญหา (Academic Games Tournament) <br />4.1 ครูเป็นผู้จัดกลุ่มใหม่ แบ่งตามความสามารถของนักเรียน เช่น <br />โต๊ะที่ 1 แข่งขันนักเรียนในกลุ่มเก่ง <br />โต๊ะที่ 2 และ 3 แข่งขันนักเรียนในกลุ่มปานกลาง <br />โต๊ะที่ 4 แข่งขันนักเรียนในกลุ่มอ่อน <br />4.2 ครูแจกคำถามนักเรียน จำนวน 10 คำถามให้ทุกโต๊ะ <br />(เป็นคำถามเหมือนกันทุกโต๊ะ) <br />4.3 นักเรียนเปลี่ยนกันหยิบซองคำถามทีละ 1 ซอง (1 คำถาม) <br />อ่านคำถามแล้ววางลงกลางโต๊ะ <br />4.4 นักเรียน 3 คนที่เหลือ คำนวณหาคำตอบ จากคำถามที่อ่าน <br />ในข้อ 4.3 เขียนคำถามลงในกระดาษคำตอบที่แต่ละคนมีอยู่ <br />4.5 นักเรียนที่ทำหน้าที่อ่านคำถามจะเป็นคนให้คะแนน <br />โดยมีกติกาให้คะแนน ดังนี้ <br />- ผู้ตอบถูกคนแรก จะได้ 2 คะแนน <br />- ผู้ตอบถูกคนต่อไป จะได้คนละ 1 คะแนน <br />- ถ้าตอบผิด ให้ 0 คะแนน <br />4.6 ทำขั้นตอน 4.3-4.5 โดยผลัดกันอ่านคำถามจนกว่าคำถาม <br />จะหมด <br />4.7 นักเรียนทุกคนรวมคะแนนของตัวเอง โดยทุกคนควรได้ตอบ <br />คำถามเท่า ๆ กัน จัดลำดับของคะแนนที่ได้ ซึ่งกำหนดโบนัส <br />ของแต่ละโต๊ะ ดังนี้ <br />โบนัส <br />ผู้ให้คะแนนชุดที่ 1 ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 10 แต้ม <br />ผู้ให้คะแนนชุดที่ 2 ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 8 แต้ม <br />ผู้ให้คะแนนชุดที่ 3 ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 6 แต้ม <br />ผู้ให้คะแนนน้อยที่สุด ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 4 แต้ม <br />ขั้นที่ 5 : นักเรียนกลับมากลุ่มเดิม (Homes Team) รวมแต้มโบนัสของ <br />ทุกคน ทีมใดที่มีแต้มโบนัสสูงสุด จะให้รางวัลหรือติดประกาศ <br />ไว้ในมุมข่าวของห้อง <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-83128792443171068792011-02-24T17:09:29.241+07:002011-02-24T17:09:29.241+07:00การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ...การเรียนรู้แบบร่วมมือ<br /><br />การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือโดยการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำกิจกรรมร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพากัน มีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งตรงข้ามกับการเรียนที่เน้นการแข่งขันและการเรียนตามลำพัง<br /><br /><br />ความหมายและแนวคิดของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning)<br /><br />ความหมาย<br /><br />การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) เป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เพราะมีลักษณะเป็นกระบวนการเรียนรู้เป็นแบบร่วมมือ ข้อแตกต่างระหว่าง Cooperative Learning กับ Collaborative Learning อยู่ที่ระดับความร่วมมือที่แตกต่างกัน Sunyoung, J. (2003) ได้สรุปว่า ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่าง Cooperative Learning กับ Collaborative Learning คือ เรื่องโครงสร้างของงาน ได้แก่ Pre – Structure , Task – Structure และ Content Structure โดย Cooperative Learning จะมีการกำหนดโครงสร้างล่วงหน้ามากกว่า มีความเกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัดโครงสร้างไว้เพื่อคำตอบที่จำกัดมากกว่า และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้และทักษะที่ชัดเจน ส่วน Collaborative Learning มีการจัดโครงสร้างล่วงหน้าน้อยกว่า เกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัดโครงสร้างแบบหลวมๆ (ill – Structure Task) เพื่อให้ได้คำตอบที่ยืดหยุ่นหลากหลาย และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้และทักษะที่ไม่จำกัดตายตัว ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพการเรียนการสอนออนไลน์มักนิยมใช้คำว่า Collaborative Learning<br />Nagata and Ronkowski (1998) ได้สรุปเปรียบว่า Collaborative Learning เป็นเสมือนร่มใหญ่ที่รวมรูปแบบหลากหลายของ Cooperative Learning จากกลุ่มโครงการเล็กสู่รูปแบบที่มีความเฉพาะเจาะจงของกลุ่มการทำงานที่เรียกว่า Cooperative Learning กล่าวได้ว่า Cooperative Learning เป็นชนิดหนึ่งของ Collaborative Learning ที่ได้ถูกพัฒนาโดย Johnson and Johnson (1960) และ ยังคงเป็นที่นิยมใช้แพร่หลายในปัจจุบัน <br />Office of Educational Research and Improvement (1992) ได้ให้ความหมายของ Cooperative Learning ว่าเป็นกลยุทธ์ทางการสอนที่ประสบผลสำเร็จในทีมขนาดเล็ก ที่ซึ่งนักเรียนมีระดับความสามารถแตกต่างกัน ใช้ความหลากหลายของกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อการปรับปรุงความเข้าใจต่อเนื้อหาวิชา สมาชิกแต่ละคนในทีมมีความรับผิดชอบไม่เพียงแต่เฉพาะการเรียนรู้แต่ยังรวมถึงการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมในการเรียนรู้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการสร้างบรรยากาศเพื่อให้บังเกิดการบรรลุผลสำเร็จที่ตั้งไว้ด้วย<br />Penn State University College of Education (2004) ได้ให้คำจำกัดความของ Collaborative Learning ว่ามีคุณลักษณะของการแบ่งปัน เข้าใจเป้าหมาย มีการยอมรับซึ่งกันและกัน เชื่อมั่นและมีขอบเขตความรับผิดชอบที่ชัดเจน มีการติดต่อสื่อสารในสิ่งแวดล้อมที่เป็นทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีการตัดสินใจจากการลงความเห็นร่วมกัน ซึ่งผู้สอนจะเป็นผู้เอื้ออำนวยและชี้แนะให้ นักเรียนได้มองเห็นทางออกของปัญหานั้นๆ<br />Thirteen Organization (2004) ได้สรุปว่า Collaborative Learning เป็นวิธีการหนึ่งของการสอนและการเรียนรู้ในทีมของนักเรียนด้วยกัน เป็นการเปิดประเด็นคำถามหรือสร้างโครงการที่เต็มไปด้วยความหมาย ตัวอย่างเช่น การที่กลุ่มของนักเรียนได้มีการอภิปราย หรือการที่นักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆทำงานร่วมกันผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อแบ่งปันงานที่ได้รับมอบหมาย ส่วนCooperative Learning เป็นการมุ่งเน้นโดยเบื้องต้นที่การทำกิจกรรมกลุ่ม เป็นแบบเฉพาะเจาะจงในชนิดของการร่วมมือ ซึ่งนักเรียนจะทำงานร่วมกันในกลุ่มเล็กในโครงสร้างของกิจกรรม ทุกคนจะมีความรับผิดชอบในงานของพวกเขา โดยทุกคนสามารถเข้าใจถึงการทำงานเป็นกลุ่มเป็นอย่างดี และการทำงานกลุ่มแบบ Cooperative นั้นจะมีการทำงานแบบเผชิญหน้า (Face – to –face) และเรียนรู้เพื่อทำงานเป็นทีม <br /><br />สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning and Collaborative Learning) หรือนักวิชาการบางท่านได้แปล Collaborative Learning ว่าคือ การเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคน สนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือทีม ตามระบอบประชาธิปไตย และเป็นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ทำให้สามารถปรับตัวอยู่กับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.com