tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post8962221308365944786..comments2023-11-28T15:37:13.009+07:00Comments on เว็บไซต์การเรียนรู้ ประภัสรา โคตะขุน: Constructionism by Seymour Papert (ซีมัวร์ พาร์เพิร์ท)Prapasara.Comhttp://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comBlogger15125tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-24756831816796105592011-09-07T02:48:49.082+07:002011-09-07T02:48:49.082+07:00http://www.oknation.net
ได้รวบรวมแล้วกล่าวถึงทฤษ...http://www.oknation.net <br /><br />ได้รวบรวมแล้วกล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า แนวคิดของทฤษฏีนี้ คือ การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเอง หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้ความคิดเห็นนั้นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้ คือ ครูจะต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน ให้คำปรึกษาชี้แนะแก่ผู้เรียน เกื้อหนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ ในการประเมินผลนั้นต้องมีการประเมินทั้งทางด้านผลงานและกระบวนการซึ่งสามารถใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครูและเพื่อน การสังเกต การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน <br /><br /><br /><br />http://52040033.web.officelive.com/99.aspx<br /><br />ได้รวบรวมแล้วกล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า Constructionism เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมากจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ของเพียเจต์ (Piaget) ทฤษฎี Constructionism พัฒนาโดย Seymour Papert แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massacchusetts Institute of Technology) แนวคิดของทฤษฎีนี้ เชื่อว่า การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและต้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะทำให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และเมื่อผู้เรียนสร้าง สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเองนั่นเอง ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นในตนเองนี้ จะมีความหมายต่อผู้เรียนจะอยู่คงทน ผู้เรียนจะไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของตนได้ดีนอกจากนั้นความรู้ที่สร้างขึ้นเองนี้ ยังจะเป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด <br /><br />สรุป <br /><br />การเรียนรู้ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ชิ้นงานด้วยตนเองจะทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์โดยตรง เกิดความคิดกว้าง เกิดการจดจำที่ยาวนานและจะมีการพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเอง หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมก็จะทำให้ความคิดเห็นนั้นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น <br /><br /><br />เอกสารอ้างอิง <br /><br /><br />· ทิศนา แขมมณี. 2547. องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. ศาสตร์การสอน. <br /><br /><br />สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กรุงเทพฯ. <br />· http://www.oknation.net/blog/print.php?id=294321. <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-90441959042586748762011-09-07T02:47:38.635+07:002011-09-07T02:47:38.635+07:00ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
...ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) <br /><br /><br />ทิศนา แขมมณี (2547 : 90) กล่าวไว้ว่า <br /><br /><br /><br />ก. ทฤษฎีการเรียนรู้ <br /><br />ทฤษฎี “Constructionism” เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) เช่นเดียวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้คือ ศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตตส์ (Massachusetts Institute of Technology) เพเพอร์ทได้มีโอกาสร่วมงานกับเพียเจต์และได้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นมาใช้ในวงการศึกษา <br /><br />- การเรียนที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน <br /><br />- หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิด และนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน <br /><br />- เมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเอง <br /><br />- ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นในตนเอง จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทน ไม่ลืมง่าย <br /><br />-ผู้เรียนจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจในความคิดของตนเองได้ดี <br /><br />- ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้น จะเป็นรากฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด <br /><br /><br />ข. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน <br /><br /><br />1. ผลของการเรียนรู้ของผู้เรียนจะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้ เป้าหมายของการเรียนจะต้องมาจากการปฏิบัติ <br /><br />2. เป้าหมายการสอนเปลี่ยนจากการถ่ายทอดไปสู่การสาธิตกระบวนการแปลและสร้างความหมายที่หลากหลาย <br /><br />3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้อย่างตื่นตัว <br /><br />4. ในการจัดการเรียนการสอน ครูต้องสร้างบรรยากาศทางสังคมจริยธรรมให้เกิดขึ้น <br /><br />5. ในการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้นำตนเองและควบคุมตนเองในการเรียนรู้ <br /><br />6. ในการจัดการเรียนรู้ ครูจะเปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอด ไปเป็นการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือผู้เรียน <br /><br />7. การประเมินผลต้องมีลักษณะเป็น “gold free evaluation” คือ ประเมินตามจุดมุ่งหมายและยืดหยุ่นตามความสามารถของแต่ตละบุคคล <br /><br />8. มีการใช้สื่อ เทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมให้ผู้เรียนได้ใช้สร้างผลงาน <br /><br />9. มีการจัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งควรมีองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ <br /><br />- เป็นบรรยากาศที่มีทางเลือกหลากหลาย <br /><br />- เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันอันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้และชิ้นงาน <br /><br />- เป็นบรรยากาศที่มีความเป็นมิตร เป็นกันเอง อบอุ่น สบายใจ และปลอดภัย <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-72802111523022024742011-09-07T02:45:53.069+07:002011-09-07T02:45:53.069+07:00...ต่อ...
นอกจากนี้ต้องจัด...บรรยากาศและสภาพแวดล......ต่อ...<br /><br /><br />นอกจากนี้ต้องจัด...บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ <br /><br /><br />1) บรรยากาศการเรียนที่มีทางเลือกหลายอย่าง ให้ผู้เรียนเลือกเรียนตามความสนใจ เพราะผู้เรียนแต่ละคนมีความชอบ ความถนัด และความสนใจไม่เหมือนกัน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทำในสิ่งที่ตนเองสนใจและเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่ต่อๆ ไป สนองตอบตามความถนัดและสนใจของผู้เรียน <br /><br /><br />2) สภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกัน เช่น วัยวุฒิ คุณวุฒิ หลายกลุ่มตามความถนัด ความสามารถ และประสบการณ์ทแตกต่างกัน เพราะจะเกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่งผลดีทั้งตัวชิ้นงาน และทางสังคมของผู้เรียน <br /><br /><br />3) บรรยายกาศที่เป็นมิตร เป็นกันเอง อบอุ่น ปลอดภัย สบายใจ เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความสุข <br /><br /><br />แต่ทั้งนี้ผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จ คือ ครูต้องมีบทบาทสอดคล้องกับแนวคิดนี้ด้วย โดยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ให้คำปรึกษา ชี้แนะ เกื้อหนุน ฯลฯ ส่วนการประเมินผลนั้นต้องประเมินทั้งด้านผลงาน (product) และกระบวนการ (process) ซึ่งใช้ได้หลากหลายวิธีการ เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครู การประเมินโดยเพื่อน การสังเกต และการประเมินโดยแฟ้มผลงานเป็นต้น <br /><br /><br />สำหรับประเทศไทยมีผู้นำมาประยุกต์ใช้เมื่อไม่นานมานี้ บุคคลสำคัญท่านหนึ่งที่นำแนวคิดนี้มาใช้จริงจังคือ ศาสตราจารย์ ดร. ชัยอนันต์ สมุทรวณิช (วชิราวุธวิทยาลัย, 2541: ก, 8-13) ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย โดยนำไปในการเรียนการสอนของวชิราวุธวิทยาลัยมาประมาณ 2 ปีแล้ว (ทิศนา แขมมณี, 2550: 98 ) <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-64209487115033179792011-09-07T02:45:05.925+07:002011-09-07T02:45:05.925+07:00ทฤษฏีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นง...ทฤษฏีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน(Constuctionisim) <br /><br /><br /><br />ทฤษฏีนี้มีพื้นฐานมาจากทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์(Piaget) เช่นเดียวกับทฤษฏีการสร้างความรู้ (Constructivism) ผู้พัฒนาทฤษฏีนี้คือศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซ็ตส์ (M.I.T) <br /><br /><br />แนวคิดของทฤษฏีนี้ คือ การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตัวของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเองนั่นเอง ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นในตนเองนี้ จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทน ผู้เรียนจะไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของตนได้ดี นอกจากนั้นความรู้ที่สร้างขึ้นนี้ยังเป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด(ทิศนา แขมมณี, 2550: 96 อ้างถึง สำนักงานโครงการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2542: 1-2) <br /><br /><br />เพเพอร์ทและคณะวิจัยแห่ง M.I.T. ได้ออกแบบวัสดุและการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี รวมทั้งนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือในการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างความรู้ในการเรียนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยออกแบบสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์โลโก้ขึ้นมา เพื่อให้เด็กใช้คณิตศาสตร์ในการสร้างรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี เกม ฯลฯ และได้พัฒนา “LEGO TV Logo” ซึ่งเป็นเชื่อมโยงภาษาโลโก้กับเลโก้ ซึ่งเป็นของเล่นที่มีลักษณะเปิ้นส่วนที่สามารถนำมาต่อกันเป็นรูปต่างๆ ได้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวช่วยให้ผู้เรียนสามารถควบคุมเลโก้ของเล่นในคอมพิวเตอร์ให้เคลื่อนไหว เดิน ฉายแสง หรือตอบสนองสิ่งเร้าต่างๆ ได้ตามความต้องการ ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยตนเองไปพร้อมๆ กับการฝึกคิด การฝึกการแก้ปัญหา และความอดทน นอกจากนั้นผู้เรียนยังเรียนรู้การบูรณาการความรู้ในหลายๆ ด้าน ทั้งทางด้านวิทยาศาวตร์ สุนทรียศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และศิลปะศาสตร์ ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนั้นเพเพอร์ทยังสร้างโปรแกรม “micro-world” “robot design” รวมทั้งสถานการณ์จำลองด้วยคอมพิวเตอร์อื่นๆ ขึ้นใช้ในการสอนอีกมาก (ทิศนา แขมมณี, 2550: 96 อ้างถึง บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ ใรวชิราวุธวิทยาลัย, 2541: 1-7) สำหรับผู้เรียนที่ไม่มีสื่อตามที่กล่าวมา เพเพอร์ทกล่าวว่าสื่อธรรมชาติและวัสดุทางศิลปะส่วนมากสามารถนำมาเป็นวัสดุในการสร้างความรู้ได้ดีเช่นกัน เช่น กระดาษ การะดาษแข็ง ดินเหนียว ไม้ โลหะ พลาสติก และของใช้อื่นๆ นอกจากนี้ต้องจัด <br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-83948146890730514382011-09-07T02:44:27.108+07:002011-09-07T02:44:27.108+07:00บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งควรมีส่วนประกอบ 3 ...บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งควรมีส่วนประกอบ 3 ประการ คือ <br /><br /><br />1. เป็นบรรยากาศที่มีทางเลือกหลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกตามความสนใจ เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความชอบและความสนใจไม่เหมือนกัน การมีทางเลือกที่หลากหลายหรือการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำในสิ่งที่สนใจจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิด การทำและการเรียนรู้ต่อไป <br /><br /><br />2. เป็นสภาพแวดล้อที่มีความแตกต่างกันอันเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้ เช่น มีกลุ่มคนที่มีวัย ความถนัด ความสามารถ และประสบการณ์แตกต่างกัน ซึ่งจะเอื้อให้มีการช่วยเหลือกันและกัน การสร้างสรรค์ผลงาน และความรู้รมทั้งพัฒนาทักษะทางสังคมด้วย <br /><br /><br />3. เป็นบรรยากาศที่มีความเป็นมิตร เป็นกันเอง บรรยากาศที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย สบายใจ จะเอื้อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความสุข <br />การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้จะประสบความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด มักขึ้นกับบทบาทของครู ครูจำเป็นตองปรับเปลี่ยนบทบาทของตนให้สอดคล้องกับแนวคิด ครูจะต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ให้คำปรึกษาชี้แนะแก่ผู้เรียน เกื้อหนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญในด้านการประเมินผลการเรียนรู้นั้นจำเป็นต้องมีการประเมินทั้งทางด้านผลงาน (product) และกระบวนการ (process) ซึ่งสามารถใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครูและเพื่อน การสังเกต การประเมินโดยใช้แฟ้มผลงาน เป็นต้น <br /><br /><br />ทฤษฎีการสร้างความรู้โดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism) นี้ มีผู้นำมาใช้ในประเทศไทยมาเมื่อไม่นานนี้ บุคคลสำคัญท่านหนึ่งที่เป็นผู้นำแนวคิดนี้มาใช้อย่างจริงจังเป็นรูปธรรม ก็คือ ศาสตราจารย์ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช (วชิราวุธวิทยาลัย,2541:ก,8-13) ผู้บังคับการวิชาราวุธวิทยาลัย ท่านให้ชื่อทฤษฎีนี้ไว้หลายชื่อ เช่น ทฤษฎี “คิดเอง – ทำเอง” “คิดเอง – สร้างเอง” และ“ทำไป – เรียนไป” และได้นำทฤษฎีนี้มาศึกษาวิจัยและใช้ในการเรียนการสอนของวชิราวุธวิทยาลัยมาประมาณ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าสนใจมาก <br />สำหรับทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) และทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism) ทั้ง 2 ทฤษฎีมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทาง เชาว์ปัญญาของเพียเจต์ ซึ่งอธิบายกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ว่า เป็นประสบการณ์เฉพาะของตน และเป็นประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้จัดกระทำ (acting on) กับข้อมูลทั้งหลายที่รับเข้ามา มิใช่เป็นเพียงผู้รับข้อมูล (taking in) เท่านั้น โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม โดยใช้กระบวนการทางปัญญา (cognitive apparatus) ของตน <br />ประเด็นสำคัญประการที่สองของทฤษฎี คือ การเรียนรู้ตามแนวสร้างองค์ความรู้ คือ โครงสร้างทางปัญญา เป็นผลของความพยายามทางความคิด ผู้เรียนสร้างเสริมความรู้ผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาด้วยตนเอง ผู้สอนไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียนได้ แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้โดยจัดสภาพการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-46142992045647711212011-09-07T02:44:14.736+07:002011-09-07T02:44:14.736+07:00ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นง...ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism) <br /><br /><br /><br /><br /><br />ก.ทฤษฎีการเรียนรู้ <br /><br /><br />ทฤษฎี “Constructionism” เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) เช่นเดียวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructionism) ผู้พัฒนาทฤษฏีนี้คือ ศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) เพเพอร์ทได้มีโอกาสร่วมงานกับเพียเจต์และได้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นมาใช้ในวงการศึกษา <br />แนวความคิดของทฤษฎีนี้คือ (สำนักงานโครงการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2542: 1-2) การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งใดขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเองนั่นเอง ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นในตนเองนี้ จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทน ผู้เรียนจะไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเจ้าใจความคิดของตนได้ดีนอกจากนั้นความรู้ที่สร้างขึ้นเองนี้ ยังเป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด <br /><br /><br /><br /><br />ข. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน <br /><br /><br />เนื่องจากทฤษฎี “Constructionism” และ“Constructivism” มีรากฐานมาจากทฤษฎีเดียวกัน แนวคิดหลักจงเหมือนกาน จะมีความแตกต่างไปบ้างก็ตรงรูปแบบการปฏิบัติซึ่ง“Constructionism” จะมีเอกลักษณ์ของตนในด้านการใช้สื่อ เทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมในการให้ผู้เรียนสร้างสาระและผลงานต่างๆ ด้วยตนเอง เพเพอร์ทและคณะวิจัยแห่ง M.I.T (บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ ในวชิราวุธวิทยาลัย, 2541:1-7) ได้ออกแบบวัสดุและจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือในการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างความรู้ในการเรียนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพเพอร์ทและคณะ ได้ออกแบบสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์โลโก้ขึ้น เพื่อให้เด็กใช้คณิตศาสตร์ในการสร้างรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี เกม เป็นต้น และได้พัฒนา “LEGO TC Logo” ซึ่งเชื่อมโยงภาษาโลโก้กับเลโก้ ซึ่งเป็นของเล่นที่มีลักษณะเป็นชิ้นส่วนที่สามารถนำมาต่อกันเป็นรูปต่างๆ ได้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวช่วยให้ผู้เรียนสามารถควบคุมเลโก้ของเล่นในคอมพิวเตอร์ให้เคลื่อนไหว เดิน ฉายแสง หรือตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆด้ามต้องการ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยตนเองไปพร้อมๆกับการฝึกคิด การฝึกแก้ปัญหา และฝึกความอดทน นอกจากนั้นผู้เรียนยังเรียนรู้การบูรณาการความรู้ในหลายๆด้าน ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และศิลปะศาสตร์ ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนั้น เพเพอร์ทและคณะยังได้พัฒนาโปรแกรม “micro – worlds ” “robot design”รวมทั้งสถานการณ์จำลองด้วยคอมพิวเตอร์อื่นๆ ขึ้นใช้ในการสอนอีกมากมาย <br />อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เรียนที่ยังไม่มีสื่อดังกล่าวใช้ เพเพอร์ทกล่าวว่าสื่อธรรมชาติและวัสดุทางศิลปะส่วนมากสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุในการสร้างความรู้ได้ดีเช่นกัน เช่น กระดาษ กระดาษแข็ง ดินเหนียว ไม้ โลหะ พลาสติก สบู่ และของเหลือใช้ต่างๆ <br />แม้ว่าผู้เรียนจะมีวัสดุที่เหมาะสำหรับการสร้างความรู้ได้ดีแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้ที่ดี สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญมากอีกประการหนึ่งก็คือ <br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-35621119939342394312011-09-07T02:42:30.736+07:002011-09-07T02:42:30.736+07:00ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นง...ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน(Constructionism <br /><br /><br />ทฤษฎี “Constructionism” เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) เช่นเดียวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้คือ ศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตตส์ (Massachusetts Institute of Technology) เพเพอร์ทได้มีโอกาสร่วมงานกับเพียเจต์และได้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นมาใช้ในวงการศึกษา <br /><br /><br /><br />แนวความคิดของทฤษฎี <br /><br /><br />การเรียนที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน <br />หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิด และนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน <br />เมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเอง <br />ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นในตนเอง จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทน ไม่ลืมง่าย <br />ผู้เรียนจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจในความคิดของตนเองได้ดี <br />ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้น จะเป็นรากฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด <br /><br /><br />การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน <br /><br /><br /><br />1. ผลของการเรียนรู้ของผู้เรียนจะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้ เป้าหมายของการเรียนจะต้องมาจากการปฏิบัติ <br /><br />2. เป้าหมายการสอนเปลี่ยนจากการถ่ายทอดไปสู่การสาธิตกระบวนการแปลและสร้างความหมายที่หลากหลาย <br /><br />3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้อย่างตื่นตัว <br /><br />4. ในการจัดการเรียนการสอน ครูต้องสร้างบรรยากาศทางสังคมจริยธรรมให้เกิดขึ้น <br /><br />5. ในการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้นำตนเองและควบคุมตนเองในการเรียนรู้ <br /><br />6. ในการจัดการเรียนรู้ ครูจะเปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอด ไปเป็นการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือผู้เรียน <br /><br />7. การประเมินผลต้องมีลักษณะเป็น “gold free evaluation” คือ ประเมินตามจุดมุ่งหมายและยืดหยุ่นตามความสามารถของแต่ตละบุคคล <br /><br />8. มีการใช้สื่อ เทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมให้ผู้เรียนได้ใช้สร้างผลงาน <br /><br />9. มีการจัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งควรมีองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ <br /><br /> เป็นบรรยากาศที่มีทางเลือกหลากหลาย <br /><br /> เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันอันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้และชิ้นงาน <br /><br /> เป็นบรรยากาศที่มีความเป็นมิตร เป็นกันเอง อบอุ่น สบายใจ และปลอดภัย <br /><br /><br />ทฤษฎีนี้ มีผู้นำมาใช้ในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการวชิรวุธวิทยาลัย ซึ่งมีการนำโปรแกรม “micro-world” “robot design” และ “LEGO TC LOGO” รวมทั้งสถานการณ์จำลองด้วยคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งพัฒนาโดยเพเพอร์ทและคณะ มาใช้ในการเรียนการสอน โดยได้ให้ชื่อทฤษฎีนี้ไว้หลายชื่อ เช่น “คิดเอง-สร้างเอง” “คิดเอง-ทำเอง” และ “ทำไป-เรียนไป” เป็นต้น <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-37757178485565865802011-09-07T02:41:12.307+07:002011-09-07T02:41:12.307+07:00...ต่อ...
บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งควรมีส......ต่อ...<br /><br /><br />บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งควรมีสวนประกอบ 3 ประการ คือ <br /><br />1. เป็นบรรยากาศที่มีทางเลือกหลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกตามความสนใจเนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความชอบและความสนใจเหมือนกัน การมีทางเลือกที่หลากหลายหรือการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำในสิ่งที่สนใจจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิด การทำ และการเรียนรู้ต่อไป <br /><br />2. เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันอันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้ เช่น มีกลุ่มคนที่มีวัย ความถนัด ความสามารถ และประสบการณ์แตกต่างกัน ซึ่งจะเอื้อให้มีการช่วยเหลือกันและกัน การสร้างสรรค์ผลงานและความรู้ รวมทั้งการพัฒนาทักษะทางสังคมด้วย <br /><br />3. เป็นบรรยากาศที่มีความเป็นมิตร เป็นกันเอง บรรยากาศที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย สบายใจ จะเอื้อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความสุข <br />การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้จะประสบผลสำเร็จได้มากน้อยเพียงใดมักขึ้นกับบทบาทของครู ครูจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนให้สอดคล้องกับแนวคิด ครูจะต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนรู้นั้น จำเป็นต้องมีการประเมินทั้งทางด้านผลงาน (product) และกระบวนการ (process) ซึ่งสามารถใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครูและเพื่อน การสังเกต การประเมินโดยใช้แฟ้มผลงาน เป็นต้น <br /><br /><br />2. วิธีจัดการเรียนการสอนแบบผังมโนมติรูปตัววี <br /><br />Novak และ Gowin (อ้างในนิภา คำเนตร, 2533) ได้อธิบายถึงขั้นตอนในการจัดการเรียนการสอนแบบผังมโนมติรูปตัววี ดังนี้ <br /><br />ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิมและแจ้งผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เริ่มต้นโดยทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน แจ้งผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และให้ผู้เรียนทำความเข้าใจกับความหมายและลักษณะโครงสร้าง/วิธีสร้างผังมโนมติรูปตัววี <br /><br />ขั้นที่ 2 การแนะนำการบันทึกข้อมูลและการตั้งคำถามสำคัญ โดยชี้ให้เห็นว่า ลักษณะของการบันทึกข้อมูลนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของคำถามอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจเกี่ยวกับการจัดกระทำข้อมูลซึ่งสามารถจัดกระทำได้หลายๆรูปแบบและวิธีการ ซึ่งลักษณะการจัดกระทำข้อมูลนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ข้อความรู้ <br /><br />ขั้นที่ 3 การอธิบายให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในการสร้างผังมโนมติรูปตัววี โดยเริ่มต้นตั้งแต่การแนะนำให้ผู้เรียนสร้างผังมโนมติรูปตัววี หลักการเดิมในส่วนของเหตุการณ์และ/หรือวัสดุสิ่งของ ส่วนของการบันทึกและการจัดกระทำข้อมูล ส่วนของความรู้มโนมติทั้งหมด และส่วนของหลักการ <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-30944511968368438812011-09-07T02:40:54.152+07:002011-09-07T02:40:54.152+07:00แนวคิด/ทฤษฎีการเรียนการสอนแบบผังมโนมติรูปตัววี
...แนวคิด/ทฤษฎีการเรียนการสอนแบบผังมโนมติรูปตัววี <br /><br /><br />ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (constructionism) <br /><br /><br />ทฤษฎี “constructionism” เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) เช่นเดียวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ (constructivism) ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ คือ ศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเองนั่นเองความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นในตนเองนี้ จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทน ผู้เรียนจะไม่ลืมง่ายและจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของตนได้ดี นอกจากนั้นความรู้ที่สร้างขึ้นเองนี้ยังจะเป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีสิ้นสุด (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2545) <br /><br /><br />การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน <br /><br />เนื่องจากทฤษฎี “constructionism” และ “constructivism” มีรากฐานมาจากทฤษฎีเดียวกัน แนวคิดหลักจึงเหมือนกัน จะมีความแตกต่างไปบ้างก็ตรงรูปแบบการปฏิบัติซึ่ง “constructionism” จะมีเอกลักษณ์ของตนในด้านการใช้สื่อ เทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมในการให้ผู้เรียนสร้างสาระการเรียนรู้และผลงานต่างๆ ด้วยตนเอง เพเพอร์ทและคณะวิจัยแห่ง MIT (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2545) ได้ออกแบบวัสดุและจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือในการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างความรู้ในการเรียนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพเพอร์ทและคณะได้ออกแบบสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์โลโก้ขึ้น เพื่อให้เด็กใช้คณิตศาสตร์ในการสร้างรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี เกม ฯลฯ และได้พัฒนา “LEGO TC Logo” ซึ่งเชื่อมโยงภาษาโลโก้กับเลโก้ ซึ่งเป็นของเล่นที่มีลักษณะเป็นชิ้นส่วนที่สามารถนำมาต่อกันเป็นรูปต่างๆได้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ช่วยให้ผู้เรียนสามารถควบคุมเลโก้ของเล่นในคอมพิวเตอร์ให้เคลื่อนไหว เดิน ฉายแสง หรือตอบสนองสิ่งเร้าต่างๆ ได้ตามต้องการ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนไดสร้างความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยตนเองไปพร้อมๆกับการฝึกคิด การฝึกแก้ปัญหาและฝึกความอดทน นอกจากนั้นผู้เรียนยังเรียนรู้การบูรณาการความรู้ในหลายๆด้าน ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนั้นเพเพอร์ทและคณะยังได้พัฒนาโปรแกรม “micro-worlds” “robot design” รวมทั้งสถานการณ์จำลองด้วยคอมพิวเตอร์อื่นๆ ขึ้นใช้ในการสอนอีกมาก <br />อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เรียนที่ยังไม่มีสื่อดังกล่าวใช้ เพเพอร์ทกล่าวว่า สื่อธรรมชาติและวัสดุทางศิลปะส่วนมากสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุในการสร้างความรู้ได้ดีเช่นกัน เช่น กระดาษ กระดาษแข็ง ดินเหนียว ไม้ โลหะ พลาสติก สบู่ และของเหลือใช้ต่างๆ <br />แม้ว่าผู้เรียนจะมีวัสดุที่เหมาะสมสำหรับการสร้างความรู้ได้ดีแล้วก็ตาม แต่ไม่อาจเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ที่ดี สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญมากอีกประการหนึ่งก็คือ <br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-84773930322193928462011-09-07T02:39:00.897+07:002011-09-07T02:39:00.897+07:00...ต่อ...
ขั้นนี้ควรมีการเขียนรายงานโครงงาน และก......ต่อ...<br /><br /><br />ขั้นนี้ควรมีการเขียนรายงานโครงงาน และการประเมินผลการทำโครงงานดังนี้<br /><br />(หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2542) <br />การเขียนรายงานโครงงาน เมื่อดำเนินการทำโครงงานจนครบขั้นตอนและได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมทั้งแปลผลและสรุปผล แล้วขั้นตอนต่อไป คือ การเขียนรายงาน ในการเขียนรายงาน ควรใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย สั้น ๆ ตรงไปตรงมา โดยรายงานโครงงานประกอบด้วยส่วยสำคัญ 3 ส่วน คือ <br /><br />1. ส่วนประกอบตอนต้น เป็นส่วนประกอบแรกของการเสนอรายงานโครงงานซึ่งประกอบด้วย <br /><br />1. ปกนอก ประกอบด้วย ชื่อโครงงาน ชื่อของผู้จัดทำโครงงาน ชื่อโรงเรียนภาคเรียน และปีการศึกษาที่ทำโครงงาน <br /><br />2. ปกใน จะมีใจความเหมือนปกนอกแต่จะเป็นกระดาษปกอ่อน <br /><br />3. กิตติประกาศ เป็นการกล่าวขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลือในการทำโครงงานจนประสบผลสำเร็จ <br /><br />4. สารบัญ จะเป็นส่วนช่วยให้ผู้อ่านเห็นเค้าโครงของโครงงานและทั้งยังช่วยให้ค้นคว้าแต่ละหัวข้อได้สะดวกรวดเร็วขึ้น <br /><br />5. สารบัญตารางและสารบัญภาพประกอบ หากโครงงานที่จัดทำนั้น มีตารางเพื่อเสนอข้อมูลหรือภาพประกอบ ก็ควรจะมีการนำเสนอสารบัญตารางและสารบัญภาพประกอบด้วย <br /><br /><br />2. ส่วนเนื้อเรื่องของรายงานโครงงาน การนำเสนอเนื้อเรื่องของโครงงาน ควรเขียนแยกเป็นบท ๆ ดังนี้ <br /><br />1. บทที่ 1 บทนำ ควรประกอบด้วยหัวข้อ ภูมิหลัง ควรมุ่งหมายในการทำโครงงานสมมติฐาน ความสำคัญของการทำโครงงาน ขอบเขตของการศึกษาโครงงาน และนิยามคำศัพท์เฉพาะ <br /><br />2. บทที่ 2 เป็นบทที่จะต้องกล่าวถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะศึกษา โดยความรู้ที่กล่าวนี้ อาจจะศึกษาจากเอกสาร ตำรา หรือข้อเขียนของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ เพื่อนำมาเป็นพื้นฐานในการศึกษาเรื่องที่ตนเองกำลังศึกษาอยู่ <br /><br />3. บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน จะประกอบด้วย ระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษาโครงงานแหล่งข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลและเครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา <br /><br />4. บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเสนอรายงานโครงงาน อาจนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะของคำอธิบาย ตารางหรืออาจใช้แผนภูมิประกอบคำอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจก็ได้ <br /><br />5. บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ เป็นการสรุปย่อผลการศึกษาโครงงานที่ค้นพบ อภิปรายผลและเสนอแนะแนวทางกำนำผลไปใช้ ตลอดจนการเสนอแนะสิ่งที่ควรจะทำการศึกษาเพิ่มเติมในครั้งต่อไป <br /><br /><br />3. ส่วนประกอบท้ายของการเสนอรายงานโครงงาน ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ คือ บรรณานุกรมและภาคผนวก <br />การประเมินความสามารถในการทำโครงงาน เป็นการประเมินผลโครงงานเพื่อจะได้ทราบว่าโครงงานที่ผู้เรียนทำไปแล้วนั้นถูกต้องสมบูรณ์เพียงใด นับว่าเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญมาก ซึ่งในการประเมินอาประเมินโดยครูหรือประเมินโดยคณะกรรมการของโรงเรียนหรือผู้เรียนประเมินด้วยก็ได้ การประเมินผลโครงงานไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตามจะมีหลักเกณฑ์ใหญ่ ๆ ดังนี้ <br /><br />1. โครงงานแสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์หรือแนวคิดที่แปลกใหม่ <br /><br />2. หัวข้อของโครงงานมีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจน ใช้ภาษาได้เหมาะสม <br /><br />3. เอกสารอ้างอิง ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่ศึกษา มีความเหมาะสม มีการค้นคว้าเอกสารเพื่อการสนับสนุนผลการศึกษาให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น <br /><br />4. การออกแบบการศึกษาต้องทำให้สอดคล้องกับปัญหา <br /><br />5. การรวบรวมข้อมูลกระทำได้ถูกต้องและตรงจุดประสงค์ที่ต้องการศึกษา <br /><br />6. การเขียนรายงานทำได้อย่างสมบูรณ์ ครอบคลุมหัวข้อสำคัญ <br /><br />7. การจัดแสดงโครงงานทำได้เหมาะสม <br /><br />8. การทำโครงงานได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท มานะ อดทน และมีความตั้งใจจริงในการศึกษาหาความรู้ <br /><br /><br />สวัสดิ์ แก้วหล่อน (2546) ได้ประยุกต์ใช้ทฤษฏีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ ชิ้นงาน รวมทั้งแนวคิดและวิธีจัดการเรียนการสอนของนักศึกษากลุ่ม BSCS (Biological Science Curriculum Study) โดยนำเสนอวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน ตามแนวคิดและวิธีจัดการเรียนการสอนของนักศึกษากลุ่มดังกล่าว ดังนี้ <br /><br />1. ขั้นสร้างความสนใจ (engage) <br /><br />2. การสำรวจและค้นหา (explore) <br /><br />3. การอธิบายและลงข้อสรุป (explain) <br /><br />4. การขยายความรู้ (elaborate) <br /><br />5. การะประเมินผล (evaluate) <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-90968407522685528902011-09-07T02:36:34.770+07:002011-09-07T02:36:34.770+07:00...ต่อ...
4. การขยายความรู้ (elaborate)
เพื่อให......ต่อ...<br /><br /><br />4. การขยายความรู้ (elaborate) <br />เพื่อให้ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นเองจากการสำรวจตรวจสอบด้วยตนเองสมบูรณ์ชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ครูควรจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีความรู้สึกซึ้งยิ่งขึ้น ขยายกรอบความคิดได้อย่างกว้างขึ้น ครูควรจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีความรู้สึกซึ้งยิ่งขึ้น ขยายกรอบความคิดได้อย่างกว้างขึ้น เชื่อมโยงความรู้เดิมสู่ความรู้ใหม่ นำไปสู่การศึกษาค้นคว้าทดลองเพิ่มขึ้น อาจจะทำได้โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนตั้งประเด็นเพื่อให้อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมให้ชัดเจนยิ่งขึ้นซักถามผู้เรียนให้ผู้เรียนเกิดความชัดเจนหรือกระจ่างในความรู้ เชื่อมโยงความรู้ที่ได้รับกับความความรู้เดิมหรือให้ค้นคว้าเพิ่มเติมในประเด็นที่ผู้เรียนสนใจ <br /><br />ขั้นนี้ควรมีแสดงผลงาน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญอีกประการหนึ่งของการทำโครงงานเป็นการแสดงผลผลิตของงานความคิดและความพยายามทั้งหมดที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเทลงไปและเป็นวิธีการที่จะทำให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้น ๆ โดยที่การแสดงผลงานควรครอบคลุมประเด็นต่างๆดังนี้ <br /><br />1. ชื่อโครงงาน ชื่อผู้ทำโครงงาน และชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา <br /><br />2. คำอธิบายย่อๆ ถึงสาเหตุจูงใจในการทำโครงงานและความสำคัญของโครงงาน <br /><br />3. วิธีกาดำเนินงาน โดยเลือกเฉพาะขั้นตอนที่เด่นและสำคัญ <br /><br />4. แสดงผลที่ได้จากการทำโครงงาน <br /><br />5. สรุปผลการศึกษาและชี้ประเด็นของข้อมูลเด่นๆ หรือข้อสังเกตที่สำคัญที่ได้จากการทำโครงงาน <br /><br />5. การประเมินผล (evaluate) <br /><br />ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ใหม่ที่ได้ไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่หรือนำไปประยุกต์ใช้นอกจากนี้ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินจุดเด่นและจุดด้อยในกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ แล้วควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสตรวจสอบซึ่งกันและกันโดยการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ได้จากการวิเคราะห์ผลการสำรวจตรวจสอบ <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-57561601789082436502011-09-07T02:35:34.154+07:002011-09-07T02:35:34.154+07:00...ต่อ...
2. การสำรวจค้นหา (explore)
เมื่อผู้เร......ต่อ...<br /><br /><br />2. การสำรวจค้นหา (explore) <br />เมื่อผู้เรียนเลือกประเด็นหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาได้แล้ว ก็แสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งข่าว แหล่งภูมิปัญญาต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจชัดเจนและรอบคอบในสิ่งที่จะศึกษา จากนนั้นจึงกวางแผนการเรียนรู้ในขอบเขตต่อไปนี้ <br />1.การกำหนดวัตถุประสงค์ การกำหนดวัตถุประสงค์เป็นการตอบคำถามว่า ผู้เรียนต้องการอะไรจากการทำโครงงานเรื่องนี้ ทำไปทำไม ซึ่งการตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะทำให้ผู้เรียนสามารถกำหนดแนวทางการทำงานได้ง่าย ไม่สับสน ทั้งนี้โดยครูเป็นผู้เสนอแนะถึงความเป็นไปได้ความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ <br />2. การระบุประโยชน์ การระบุประโยชน์เป็นการคาดหวังในเบื้องต้นว่า เมื่อทำโครงงานเรื่องนี้แล้วจะได้อะไร มีคุณประโยชน์อย่างไร ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม <br />3. การคาดเดาคำตอบ การคาดเดาคำตอบเป็นการทำนายหรือคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้น โดยมีพื้นฐานมาจากการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่ปัจจุบันมาสัมพันธ์เชื่อมโยงหาแนวโน้ม เป็นหารตอบสนองความสนใจ ความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียน ตลอดจนฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุมีผลแต่มิใช่ว่าทุกโครงงานจะมีการคาดเดาคำตอบล่วงหน้าเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงงาน เช่นโครงงานประเภทสำรวจไม่จำเป็นต้องตั้งสมมุติฐาน <br />4. การกำหนดและเลือกวิธีการศึกษา ในการศึกษาเรื่องหนึ่ง ๆ ผู้เรียนสามารถกำหนดวิธีการศึกษาได้อย่างหลากหลาย แต่สุดท้ายต้องตัดสินใจเลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัดและวิสัยที่ตนเองจะสามารถเรียนรู้ได้ <br />5. การลงมือศึกษาเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่ง เพราะผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงตามแผนการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ เช่น การรวบรวมข้อมูลโดยสำรวจ การทดลอง การค้นคว้า รวมถึงการปรับปรุงพลิกผันกิจกรรมตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งครูต้องติดตามช่วยเหลือผู้เรียนได้เรียนรู้ตามวิธีการที่เขาเลือกให้ประสบผลสำเร็จ <br />ขั้นนี้เมื่อผู้เรียนกำหนดปัญหาที่จะสำรวจได้แล้ว ครูมีหน้าที่กระตุ้นให้ผู้เรียนตรวจสอบปัญหาและให้ผู้เรียนดำเนินการสำรวจตรวจสอบ สืบค้น และรวบรวมข้อมูล โดยการวางแผนการสำรวจตรวจสอบ ลงมือปฏิบัติ เช่น การสังเกต วัด ทดลอง รวบรวมข้อมูลสนเทศ เป็นต้น <br /><br /><br />3. การอธิบายและลงข้อสรุป (explain) <br /><br />เมื่อผู้เรียนทำการศึกษาค้นคว้าเสร็จแล้วก็จะเป็นการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าซึ่งประกอบด้วย <br /><br />1. การสรุปผล การสรุปผลเป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์สังเคราะห์สัมพันธ์ เชื่อมโยง และลงข้อสรุป เป็นองค์ความรู้ที่ค้นพบใหม่ แล้วเลือกวิธีการนำเสนอที่เหมาะสม ซึ่งอาจทำเป็นภาพ กราฟ หรือ แผนภูมิ โดยให้มองเห็นทั้งในส่วนกระบวนการและผลผลิต <br /><br />2. การนำเสนอผลการศึกษา การนำเสนอผลการศึกษาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรายงานด้วยเอกสาร หนังสือ การเล่าสู่กันฟัง การประชุม การจัดนิทรรศการ โดยผู้เรียนเป็นผู้ที่ร่วมกันคิดค้นวิธีการและการนำเสนอ สามารถทำได้ทั้งในระดับชั้นเรียน โรงเรียน ชุมชน อำเภอ จังหวัด ขึ้นอยู่กับศักยภาพและความเหมาะสม <br /><br />3. การเผยแพร่ นอกจากการนำเสนอผลงานแล้ว ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิธีการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ผลงานให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เรียนจะได้มีโอกาสเขียนนำเสนอและแสดงความคิดเห็นด้วยตัวของผู้เรียนเอง <br />ขั้นนี้เมื่อได้ข้อมูลจากการสำรวจตรวจสอบ สืบค้นข้อมูลแล้ว ขั้นตอนนี้ครูมีหน้าที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำข้อมูลมาวิเคราะห์ จัดกระทำข้อมูลในรูปตาราง กราฟ แผนภาพ ให้เห็น แนวโน้มหรือความสัมพันธ์ของข้อมูล สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง โดยอ้างอิงหลักการและวิชาการประกอบอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีการอ้างอิงหลักฐานชัดเจน แล้วนำเสนอผลงาน ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนได้สร้างความรู้ใหม่ ครูมีหน้าที่จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนอธิบายความคิดด้วยตัวของผู้เรียนเอง ให้ผู้เรียนแสดงหลักฐานเหตุผลประกอบการอธิบาย และให้ผู้เรียนตรวจสอบผลการทดลองว่าสอดคล้องกับสมมุติฐานหรือไม่ อย่างไร <br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-40416922334197310382011-09-07T02:33:49.891+07:002011-09-07T02:33:49.891+07:00...ต่อ...
2. วิธีจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน
ก......ต่อ...<br /><br /><br />2. วิธีจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน <br /><br />การทำโครงงานเป็นกลยุทธ์ที่ให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิด ประกอบด้วยขั้นตอนเป็นลำดับ ซึ่งเรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ใช้การสร้างความรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ด้วยตนเอง ตามแนวทฤษฏีการสร้างความรู้ (constructive) ทั้งตามทฤษฏีคอนสตรัควิสม์ (constructivism) และทฤษฏีคอนสตรัคชันนิสม์ (constructionism) ซึ่งเป็นทฤษฏีการเรียนรู้ในกลุ่มปัญญานิยมที่เน้นเรื่องปัญหา เน้นการค้นพบความรู้ด้วยวิธีค้นพบ (discovery) ค้นพบความรู้ด้วยวิธีสืบสอบ (inquiry method) การทำโครงงานจึงเป็นวิธีการพัฒนาคิด ถ้ายิ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนไดเปฏิบัติเองได้เรียนรู้เองมากเท่าไร ยิ่งทำให้เป็นผู้เข้าใจและเรียนรู้อย่างลึกซึ้งมาก ส่วนการเปิดโอกาสน้อยมากไม่ให้คิดเองทำเอง ทำให้ผู้เรียนรู้อย่างผิวเผิน ดังคำกล่าวของ John Biggs (1999) <br />To maximize the chances that students will use a deep approach , To minimized the chances that they will use a surface approach <br /><br /><br />Dewey (1963) ได้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาเสนอเป็นวิธีการสอนตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ <br /><br />1. กำหนดขอบเขตของปัญหา (location problem) <br /><br />2. ตั้งสมมุติฐานการแก้ปัญหา (setting up of hypothesis) <br /><br />3. ทดลองและรวบรวมข้อมูล (experimenting and gathering data) <br /><br />4. วิเคราะห์ข้อมูล (analysis of data) <br /><br />5. สรุปผล (conclusion) <br /><br />ในการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานนั้น นักศึกษากลุ่ม BSCS (Biological Science Curriculum Study) ได้กล่าวไว้ว่าการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเหมือนกับการสอนโดยใช้วิธีสืบเสาะหาความรู้ กล่าวคือ การสอนแบบโครงงานและการสอนโดยใช้วิธีสืบเสาะหาความรู้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยเน้นให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเองตามแนวทฤษฏีการสร้างความรู้ซึ่งเป็นทฤษฏีการเรียนรู้ในกลุ่มปัญญานิยมที่เน้นการค้นพบความรู้ด้วยวิธีสืบเสาะหาความรู้ <br /><br />ขั้นตอนในการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ <br /><br /><br />1. ขั้นสร้างความสนใจ (engage) <br /><br />การเรียนรู้โดยโครงงานเริ่มจากผู้เรียนมีความสนใจอยากศึกษาโดยครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยใช้สถานการณ์ต่างๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ข้อสงสัยหรือประเด็นปัญหา เช่น การเล่าเรื่อง การฉายวีดีทัศน์ การแสดงบทบาทสมมติ การตั้งคำถาม การศึกษาค้นคว้าเอกสาร หรือการศึกษาปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อมใกล้ตัว จากนั้นครูและผู้เรียนช่วยกันรวบรวมประเด็นที่อยากรู้ เขียนเสนอในรูปผังเรื่อง (web) แล้วให้ผู้เรียนเลือกเรื่องที่จะทำโครงงาน โดยมีเกณฑ์ การพิจารณาเรื่องที่ควรศึกษาดังนี้ <br /><br />1. เป็นเรื่องที่ผู้เรียนสนใจและอยากรู้ <br /><br />2. เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและอยู่ในบริบทแห่งความจริง เป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่ผู้เรียนทำได้ โดยสามารถค้นคว้าแหล่งข้อมูลทั้งจากตำราและตัวบุคคล หรือผู้เรียนมีพื้นความรู้ในเรื่องนี้เพียงพอ <br /><br />3. ประเด็นข้อสงสัยมีวิธีการหลากหลายในการหาคำตอบ <br /><br />4. สิ่งที่ศึกษา (ตัวแปร) สามารถตรวจสอบ วัด หรือ เปรียบเทียบได้ <br /><br />5. กรณีเป็นเรื่องเล็ก ๆ สามารถพัฒนาเป็นโครงงานใหม่ได้ <br /><br />ขั้นนี้ครูมีหน้าที่จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสนใจ กระตุ้น ยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้ อยากเห็น กิจกรรมอาจจะเป็นการทดลอง การนำเสนอข้อมูล การสาธิต ข่าว หรือสถานการณ์ เหตุการณ์ ซึ่งก่อให้เกิดความคิดขัดแย้งจากสิ่งที่ผู้เรียนเคยรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถาม กำหนดประเด็นปัญหาที่จะศึกษา ซึ่งนำไปสู้การสำรวจตรวจสอบ <br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-56520073941715017142011-09-07T02:31:25.765+07:002011-09-07T02:31:25.765+07:00ทฤษฏีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างชิ้นงาน (c...ทฤษฏีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างชิ้นงาน (constructivism) <br /><br /><br /><br /><br />ทฤษฏี (constructivism) เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (piaget) เช่นเดียวกับทฤษฏีการสร้างความรู้ (constructivism) ผู้พัฒนาทฤษฏีนี้คือ ศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) แนวความคิดของทฤษฎีนี้ คือการเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ตนเองละด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเองนั้นเอง ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นในตนเองนี้ จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทนผู้เรียนจะไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของตนได้ดี นอกจากนั้นความรู้ที่สร้างขึ้นเองนี้ ยังจะเป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สุด (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ , 2545) <br />การประยุกต์ใช้ทฤษฏีในการเรียนการสอน <br />เนื่องจากทฤษฏี constructionism และ constructivism มีรากฐานมาจากทฤษฎีเดี่ยวกันแนวคิดหลักจึงเหมือนกัน จะมีความแตกต่างไปบ้างก็ตรงรูปแบบการปฏิบัติ ซึ่ง constructionism จะมีเอกลักษณ์ของตนในด้านการใช้สื่อ เทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการให้ผู้เรียนสร้างสาระการเรียนรู้และผลงานต่าง ด้วยตนเอง เพเพอร์ทและคณะวิจัยแห่ง MIT ได้ออกแบบวัสดุและการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีรวมทั้งได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือในการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างความรู้ในการเรียนวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพเพอร์ทและคณะได้ออกแบบ สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์โลโก้ขึ้น เพื่อให้เด็กใช้คณิตศาสตร์ในการสร้างรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี เกม และได้พัฒนา LEGO TC LOGO ซึ่งเชื่อมโยงภาษาโลโก้กับเลโก้ ซึ่งเป็นของเล่นที่มีลักษณะเป็นชิ้นส่วนที่สามารถนำมาต่อกันเป็นรูปต่างๆได้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวช่วยให้ผู้เรียนสามารถควบคุมเลโก้ของเล่นในคอมพิวเตอร์ให้เคลื่อนไหว เดิน ฉายแสง หรือตอบสนองสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้ตามต้องการ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยตนเองไปพร้อมๆกับการฝึกคิด การฝึกแก้ปัญหา และฝึกความอดทน นอกจากนั้นผู้เรียนยังเรียนรู้การบูรณาการความรู้ในหลายๆด้าน ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และศิลปะศาสตร์ ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนั้นเพเพอร์ทและคณะยังได้พัฒนาโปรแกรม micro-worlds robot design รวมทั้งสถานการณ์จำลองด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆขึ้นใช้ในการสอนอีกมาก (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ , 2545) <br />อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เรียนที่ยังไม่มีสื่อดังกล่าวใช้ เพเพอร์ทกล่าวว่า สื่อธรรมชาติและวัสดุทางศิลปะส่วนมากสามารถนำมาใช้วัสดุในการสร้างความรู้ได้ดีเช่นกัน เช่น กระดาษ กระดาษแข็ง ดินเหนียว ไม้ โลหะ พลาสติก สบู่ และของเหลือใช้ต่างๆ <br />แม้ว่าผู้เรียนจะมีวัสดุที่เหมาะสำหรับการสร้างความรู้ได้ดีแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้ที่ดี สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญมากอีกประการหนึ่งก็คือ บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีซึ่งควรมีส่วนประกอบ 3 ประการ คือ <br /><br />1. เป็นบรรยากาศที่มีทางเลือกหลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกตามความสนใจเนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความชอบและความสนใจไม่เหมือนกัน การมีทางเลือกที่หลากหลายหรือการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำในสิ่งที่สนใจจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิด การทำ และการเรียนรู้ต่อไป <br /><br />2. เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันอันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้ เช่น มีกลุ่มคนที่มีวัย ความถนัด ความสามารถ และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเอื้อให้มีการช่วยเหลือกันและกัน การสร้างสรรค์ผลงานและความรู้ รวมทั้งการพัฒนาทักษะทางสังคมด้วย <br /><br />3. เป็นบรรยากาศที่มีความเป็นมิตร เป็นกันเอง บรรยากาศที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกอบอุ่น แลอดภัย สบายใจ และเอื้อให้การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างมีความสุข <br />การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้จะประสบผลสำเร็จได้มากน้อยเพียงใดมักขึ้นอยู่กับบทบาทของครู ครูจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนให้สอดคล้องกับแนวคิด ครูจะต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน ให้คำปรึกษาชี้แนะแก่ผู้เรียน เกื้อหนุน การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นเป็นสำคัญในด้านการประเมินผลการเรียนรู้นั้นจำเป็นต้องมีการประเมินทั้งทางด้านผลงาน (product) และกระบวนการ (process) ซึ่งสามารถใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครูและเพื่อน การสังเกต การประเมินโดยใช้แฟ้มผลงาน เป็นต้น (Maker and Nielson, 1995) <br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-84957587661304356842011-09-07T02:29:02.894+07:002011-09-07T02:29:02.894+07:00ภาษาโลโก
ภาษาโลโก (Logo programming language) เ...ภาษาโลโก <br /><br /><br />ภาษาโลโก (Logo programming language) เป็นภาษาโปรแกรมเชิงการใช้งาน (Functional Programming Language) โดยมีรากฐานมาจากภาษาลิสป์ โดยจุดประสงค์ดั้งเดิมในการสร้างก็เพื่อใช้ในด้านการศึกษาในเรื่องหลักการในการเขียนโปรแกรม ภาษาโลโกมักจะถูกเรียกด้วยชื่อ "เต่าโลโก" <br /><br /><br /><br />ประวัติ <br /><br /><br />ภาษาโลโกถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1967 ในเมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา โดยนาย Wally Feurzeig และ Seymour Papert ตัวภาษาครั้งแรกถูกพัฒนาขึ้นด้วยภาษาลิสป์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ PDP-1 โดยมีจุดประสงค์ดั้งเดิมคือการแก้ไขปัญหาง่ายๆ ด้วยการใช้ "เต่า" ในการตอบสนองเพื่อค้นหาจุดบกพร่อง <br /><br /><br /><br />ภาษาโลโกเริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2513 เมื่อกลุ่มนักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ นำโดย เซย์มัว พาเพิร์ต ได้ทำการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ คล้ายกับของ เกย์ วอลเทอร์ เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถเขียนโปรแกรมคำสั่งที่ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สั่งให้โปรแกรมทำงานตามที่ต้องการ พวกเขาจึงทำการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ขึ้นใหม่ เรียกว่าภาษา “โลโก” เป็นภาษาที่ง่ายสำหรับเด็ก ช่วยให้เด็กสามารถเขียนคำสั่งให้หุ่นยนต์เต่า (Logo) เคลื่อนที่ไปมาและเปลี่ยนทิศทางตามที่ต้องการ ภาษาโลโกจึงเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับเด็กในการฝึกทักษะทางภาษาคอมพิวเตอร์ และสามารถสร้างงานจากจินตนาการ โดยอาศัยความเข้าใจพื้นฐานของวิชาคณิตศาสตร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ มีราคาถูก จึงได้มีการพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปให้สามารถจำลองหุ่นยนต์เต่าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นภาพกราฟิกเต่า เคลื่อนที่ไปมาบนจอภาพคอมพิวเตอร์ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของภาพกราฟิกเต่า มาเป็นภาพสัญลักษณ์สามเหลี่ยม <br /><br /><br /><br />การพัฒนา <br /><br /><br /><br />มีการพัฒนาภาษาโลโกกว่า 130 ชุด แต่ละชุดต่างมีจุดแข็งของตัวเอง ตัวอย่างในการนำไปพัฒนาต่อเช่น MSWLogo ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษาแจกฟรีโดยSoftrinic และพัฒนาโดยยอร์จมิลล์ <br /><br /><br /><br />ตัวอย่างการใช้งาน <br /><br /><br />เมื่อเต่าโลโกเดินผ่าน จะเกิดเส้นขึ้นมา โดยผู้ใช้จะเป็นผู้สั่งการทำงานต่างๆ เช่นการเดินตรง หัน 90 องศา โดยคำสั่งในด้านทิศทางต่างๆ จะขึ้นอยู่กับทิศทางของเต่าโลโก <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.com