tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post6626121093693779777..comments2023-11-28T15:37:13.009+07:00Comments on เว็บไซต์การเรียนรู้ ประภัสรา โคตะขุน: Richard Branson (ริชาร์ด แบรนสัน)Prapasara.Comhttp://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comBlogger10125tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-29419545635633145392011-09-23T02:06:01.898+07:002011-09-23T02:06:01.898+07:00...ต่อ...
อัจฉริยะของแบรนสันเริ่มส่อแววตั้งแต......ต่อ...<br /><br /><br /><br /><br /><br />อัจฉริยะของแบรนสันเริ่มส่อแววตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียนซึ่งเขาไม่ชอบกฎระเบียบของโรงเรียนเอาเสียเลย ในวัย 16 ปีเขาจึงออกหนังสือพิมพ์สำหรับนักเรียนโดยใช้ชื่อว่า Student เป็นช่องทางให้ทุกคนได้พูดในสิ่งที่อยากพูดอยากทำตามความรู้สึกของนักเรียนไม่ใช่ของโรงเรียน แต่สามารถเชื่อมโยงสถาบันการศึกษาเข้าหากันได้แถมยังมีรายได้จากการโฆษณาจากบริษัทใหญ่ๆพ่วงเข้ามาด้วย บรรจุไว้ด้วยข้อเขียนที่ไม่ธรรมดามีทั้งระดับรัฐมนตรี ซูเปอร์สตาร์ทางดนตรี ปัญญาชนและดาราและศิลปินที่มีชื่อเสียง ดังนั้นแม้เขาจะได้เงินช่วยเหลือจากแม่แค่ 4 ปอนด์เป็นค่าแสตมป์และค่าโทรศัพท์ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเริ่มธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นแรกท่ามกลางคำทำนายของครูใหญ่ที่โรงเรียนว่าถ้าแบรนสันไม่เข้าคุก ก็ต้องเป็นมหาเศรษฐี <br /><br />แบรนสันเริ่มขยับขยายธุรกิจด้วยการให้บริการส่งแผ่นเสียงลดราคาทางไปรษณีย์จนกลายเป็นธุรกิจใหญ่โตภายใต้ชื่อ Virgin Records เป็นที่รวมผลงานของศิลปินโด่งดังมากมาย ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขาย Virgin Records ให้กับ EMI ไปด้วยราคา 1,000 ล้านดอลลาร์ในปี 1992 แต่ด้วยความรักในธุรกิจนี้เขาก็หวนกลับมาสร้างบริษัท V2 Records อีกครั้งในปี 1996 <br /><br />หลักการทำธุรกิจของริชาร์ด แบรนสันก็คือการกระโจนลงสู่ธุรกิจที่ยังผู้เล่นรายใหญ่ครองตลาดอยู่ไม่กี่เจ้า เขามีวิธีการโฆษณาที่แปลกแหวกแนว อย่างเช่นการโฆษณา Virgin Cola ซึ่งใหญ่กว่า Pepsi ในยุโรปเสียอีกและกำลังหาทางโค่น Coke ในสหรัฐด้วยซ้ำ วิธีการของแบรนสันก็คือขับรถถังไปยังป้ายโฆษณาของ Coke ที่ไทม์สแควร์ในนิวยอร์ค แล้วก็ยิงป้ายของ Coke เพื่อเป็นการเปิดตัว Virgin Cola ของเขา การโฆษณา Virgin Mobile ด้วยนางพยาบาลแสนซนจนถูกฟ้องจากสมาคมพยาบาลของแคนาดา แต่แบรนสันก็ยังโฆษณาต่อไป หรือแม้แต่การโฆษณาด้วยกระดาษห่อของนิตยสาร Vice ในเทศกาลคริสต์มาสซึ่งมีภาพของเทพบุตรจับหน้าอกของเทพธิดา ขณะที่เทพธิดาก็เอามือจับอวัยวะสืบพันธุ์ของเทพบุตรเป็นต้น จจ หรือการที่แบรนสันยอมแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวเมื่อแอร์โฮสเตสคนหนึ่งเข้ามาหาเขาแล้วเสนอไอเดียว่าน่าจะทำธุรกิจเกี่ยวกับการจัดงานแต่งงาน <br />นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวในเรื่องของธุรกิจและแนวความคิดประหลาดๆ ของริชาร์ด แบรนสันเท่านั้น ด้วยความคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าวันที่ผมจะมีโอกาสได้เห็นตัวเป็นๆและพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับเซอร์ริชาร์ด แบรนสันในวันที่เขาแต่งตัวเป็นแอร์โฮสเตสให้กับ Air Asia น่าจะได้เห็นพฤติกรรมประหลาดๆของอภิมหาเศรษฐีคนนี้อีกครั้ง <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ที่มา : http://www.telecomjournal.net/index.php?option=com_content&task=view&id=4549&Itemid=34<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-42866400163853635712011-09-23T02:05:25.419+07:002011-09-23T02:05:25.419+07:00...ต่อ...
สายการบิน Virgin เป็นเพียงส่วนหนึ่งใน......ต่อ...<br /><br /><br /><br />สายการบิน Virgin เป็นเพียงส่วนหนึ่งในธุรกิจของแบรนสันเท่านั้น เพราะแบรนด์สันวัย 60 ปีคนนี้เพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่าเขามีธุรกิจอยู่ประมาณ 350 บริษัท ที่สำคัญๆก็เช่น Virgin Atlantic ซึ่งเป็นสายการบินนานาชาติให้บริการทั่วโลก มี Virgin Megastores เป็นธุรกิจเพลงและดนตรีอยู่ในอังกฤษ สหรัฐ และออสเตรเลีย มี Virgin Book พิมพ์และจำหน่ายหนังสือ Virgin Credid Card ให้บริการเครดิตการ์ดในราคาที่สมเหตุสมผล VirginHoliday ให้บริการท่องเที่ยว Virgin Train ให้บริการรถไฟในอังกฤษ V2 Music บริษัทเพลงที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ Virgin Active ให้บริการฟิตเนส และที่ฮือฮากันมากก็คือ Virgin Galactic หรือบริการทัวร์อวกาศซึ่งมีความคืบหน้าไปมากแล้วทั้งการทดสอบการบินและจำนวนผู้โดยสารที่จองคิวกันยาวอย่างเหลือเชื่อ <br /><br />แบรนสันยืนยันว่าขณะนี้มีลูกค้าจองไว้แล้วกว่า 35,000 คน ค่าตั๋วอยู่ที่ 2 แสนดอลลาร์หรือประมาณ 6 ล้านบาท ตอนนี้มีคนยอมชำระเต็มราคาล่วงหน้าไปแล้วกว่า 200 คน ได้เงินไปแล้วกว่า 1,200 ล้านบาท <br /><br />นอกจากนั้นแบรนสันยังมีธุรกิจเกี่ยวกับ media อีกหลายตัว มีแม้กระทั่งแผนการที่จะทำหนังสือพิมพ์บน iPad โดยใช้ชื่อว่า Project หวังแข่งกับ Daily ของเจ้าพ่อวงการสื่ออย่างรูเพิร์ต เมอร์ด็อกแห่งค่าย Mews Corp. <br /><br />ถามว่ามีบริษัทอยู่กว่า 350 บริษัทแล้วจะบริหารอย่างไร แบรนสันตอบว่าเขาไม่ได้มีสำนักงานใหญ่โต แม้จะมีพนักงานในเครืออยู่กว่า 5,000 คน แต่เขาอาศัยหลักมอบความไว้วางใจให้กับพนักงานดูแลงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ เขาจะเขียนโน๊ตถึงพนักงานเดือนละครั้งและเชิญชวนให้พนักงานเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์ถึงเขาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาการทำงาน การเสนอแนะความคิดหรือพูดถึงความฝันของพนักงานแต่ละคน แบรนสันยังมีเว็บไซด์ Virgin.com เป็นช่องทางให้คนทั่วไปได้เสนอไอเดียใหม่ๆหรือการบุกเบิกธุรกิจที่น่าตื่นเต้นซึ่งเขายินดีจะลงทุนหรือเป็นนายแบบโฆษณาให้เสียด้วยซ้ำ <br /><br />พูดได้เต็มปากว่าแบรนสันสนุกกับการใช้ชีวิตในทุกๆนาที การผจญภัยหลายครั้งของเขาเกือบจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต แต่ไม่ว่าจะทำอะไรเขาจะมีโลโก้ของ Virgin ไปด้วยเสมอ เท่ากับเป็นการโฆษณาแบรนด์ของเขาอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางความสงสัยว่าทำไมจึงต้องตั้งชื่อว่า Virgin คำตอบก็ง่ายแสนง่าย เป็นชื่อที่เพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่งเสนอชื่อนี้เพราะเห็นว่าพวกเขาเพิ่งก่อร่างสร้างตัวในการทำธุรกิจ หรือเป็นนักธุรกิจมือใหม่ที่ยังไร้เดียงสา ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั่นเอง แต่วันนี้ Virgin ขยายอาณาจักรธุรกิจไปทั่วโลก สร้างความมั่งคั่งให้กับริชาร์ด แบรนสัน จนติดอันดับคนที่ร่ำรวยที่สุดของโลกเป็นอันดับที่ 254 ตามการจัดอันดับล่าสุดของนิตยสาร Forbs ประจำปีนี้ ด้วยทรัพย์สินประมาณ 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือไม่น้อยกว่า 126,000 ล้านบาท แถมยังมีเกาะส่วนตัวอยู่ในทะเลแคริบเบียนด้วย <br /><br />ริชาร์ด แบรนสัน เป็นชาวอังกฤษเกิดเมื่อ 18 กรกฏาคม 1950 เขาเรียนหนังสือไม่จบและมีความรู้สึกว่าการเรียนไม่ใช่เรื่องท้าทายสำหรับเขาเลย มิหนำซ้ำเขายังมีปัญหาสายตาสั้นและรู้สึกอับอายอย่างมากเพราะมีความผิดปกติในการอ่านหรือการสะกดคำซึ่งเขาต้องพยายามจำและนำไปพูดต่อหน้าคน แน่นอนว่าถ้ามีการทดสอบไอคิวจะเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเขามาก เพราะจะทำให้พบจุดอ่อนของเขามากมาย แต่สุดท้ายก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการทดสอบไอคิวนั้นล้มเหลว ใข้กับแบรนสันไม่ได้ เพราะไอคิวไม่ได้บ่งบอกถึงความสามารถ ความหลงใหล ความทะเยอทะยานหรือความกระตือรือร้น ไม่ได้ระบุถึงไฟภายในร่างกายที่ผลักดันให้คนอย่างริชาร์ด แบรนสันหาช่องทางสร้างความสำเร็จให้กับชีวิตที่วิธีที่ซิกแซ็กซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานทั่วไป ไอคิวไม่ได้ระบุถึงความเป็นอัจฉริยะทั้งหมด ไม่ได้พูดถึงความสามารถในการเชื่อมโยงกับประชาชนแบบใจถึงใจ วิญญาณถึงวิญญาณอย่างที่แบรนสันสามารถทำได้ แถมเขายังเต็มไปด้วยอีคิว มีอารมณ์สดชื่น ยิ้มแย้มตลอดเวลา จนไม่เคยปรากฏใบหน้าที่ถมึงทึงหรือตึงเครียดผ่านสื่อมวลชนเลย <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-71200946682848801412011-09-23T02:04:43.026+07:002011-09-23T02:04:43.026+07:00ริชาร์ด แบรนสัน : ปรามาจารย์สร้างแบรนด์
ริช...ริชาร์ด แบรนสัน : ปรามาจารย์สร้างแบรนด์ <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ริชาร์ด แบรนสัน เป็นใคร สำคัญอย่างไรจึงต้องพูดถึง คนทั่วไปอาจจะจำชื่อไม่ค่อยได้ว่าริชาร์ด แบรนสัน เป็นใคร แต่ถ้าบอกว่าเขาคือนักธุรกิจที่หน้าตาเหมือนสิงโต ชีวิตมีแต่การผจญภัย โลดโผน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางรอบโลกด้วยบอลลูน ทำสถิติข้ามมหาสมุทรแอ็ตแลนติด ทำโครงการทัวร์อวกาศ ล่าสุดดำริโครงการท่องก้นบึ้งมหาสมุทร ก็คงจะเห็นภาพของริชาร์ด แบรนสันได้ชัดขึ้น แต่อาจจะไม่ชัดลึกพอ เพราะถ้าไปศึกษาประวัติของริชาร์ด แบรนสันแล้วจะพบว่าเขาคือตัวจริงของคนที่สมควรได้ชื่อว่าทำเรื่องตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบขนานแท้ <br /><br />สาเหตุที่ผมต้องเขียนถึงริชาร์ด แบรนสันก็เพราะเขาทำให้ผมผิดหวังถึง 2 ครั้ง 2 คราแล้วและไม่แน่ว่าจะผิดหวังเป็นครั้งที่ 3 อีกหรือไม่ เพราะตั้งท่าว่าจะไปทีไร ก็มีอันต้องเลื่อนวันไปเสียทุกที ครั้งหลังสุดนี้ตั้งท่าว่าจะไปวันที่ 28 เมษายน -3 พฤษภาคม ทำวีซ่าอังกฤษเรียบร้อยแล้ว ยังต้องมีอันเลื่อนไปเป็นวันที่ 4 กรกฏาคม วันชาติสหรับอเมริกาโน่น เรื่องของเรื่องก็คือ Air Asia เขาจะเชิญสื่อมวลชนไปเป็นสักขีพยานในผลของเกมพนันขันต่อของเจ้าพ่อวงการบินอย่างโทนี่ เฟอร์นันเดซ เจ้าของ Air Asia และ Virgin Airlines ของริชาร์ด แบรนสัน เรียกว่าให้ไปดูอภิมหาเศรษฐีเขาเล่นกันก็ว่าได้ <br /><br />ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทั้ง 2 อภิมหาเศรษฐีมีเดิมพันกันในฐานะเป็นเจ้าของทีมฟอร์มูล่า วัน โดยโทนี่ เฟอร์นันเดซเป็นเจ้าของทีม AirAsia & Team Lotus ส่วนริชาร์ด แบรนสันมีทีม Virgin Group & Vergin Racing แข่งกัน 9 เดือน รวม19 ครั้ง ปรากฏว่าทีมของโทนี่ เฟอร์นันเดซทำคะแนนได้ดีกว่าทีมของแบรนสัน ราคาพนันก็คือผู้แพ้จะต้องยอมแต่งตัวเป็นพนักงานต้อนรับให้กับสายการบินของผู้ชนะ พูดง่ายๆก็คือริชาร์ด แบรนสันต้องแต่งตัวเป็นแอร์โฮสเตส ให้บริการบนเที่ยวบินของ Air Asia เป็นเวลา 1 วัน โดยบินจากอังกฤษมายังกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ด้วยเที่ยวบินพิเศษ รายได้มอบให้กับองค์กรการกุศล <br /><br />เจาะลึกไปกว่านั้นก็คือความจริงริชาร์ด แบรนสันก็มีหุ้นอยู่ใน Air Asia X อยู่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเจ้าของสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง Virgin Blue ในออสเตรเลียด้วย และเมื่อพูดถึงสถานะของสายการบินต้นทุนต่ำหรือ Low Cost Airline แล้ว อันดับ 1 ของโลกขณะนี้ก็คือ Air Asia ส่วนอันดับ 2 เป็นของ Air Berlin และอันดับ 3 ก็คือ Virgin Blue ของแบรนสันนั่นเอง <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-3961263320686896212011-09-23T02:04:13.836+07:002011-09-23T02:04:13.836+07:00...ต่อ...
ถ้าริชาร์ด แบรนสันคือมหาเศรษฐีชาวอัง......ต่อ...<br /><br /><br /><br /><br />ถ้าริชาร์ด แบรนสันคือมหาเศรษฐีชาวอังกฤษผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการของกลุ่มกิจการนี้ เขาผู้นั้นก็คือ ผู้มีคติในการดำเนินชีวิตและบริหารธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร และเริ่มกระโดดเข้าสู่วงการธุรกิจตั้งแต่มีอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น จากหนุ่มน้อยที่เริ่มต้นทำธุรกิจนิตยสารรายเดือนสำหรับนักศึกษามหาลัย ปัจจุบันริชาร์ด แบรนสัน คือมหาเศรษฐีคนหนึ่งของโลก ที่มีบริษัทในเครือมากถึง 360 บริษัทภายใต้ชื่อการค้าว่า ?เวอร์จิ้น? มีทั้งธุรกิจสายการบิน ค่ายเพลง สื่อสิ่งพิมพ์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ และยังมีการขยายธุรกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามปรัชญาชีวิตประจำตัวว่า ?ต้องท้าทายตัวเอง? ทำให้ริชาร์ด <br />แบรนสัน มีนิสัยรักความท้าทาย ชอบความเสี่ยงเรื่องโลดโผน และชื่นชอบการผจญภัยเป็นชีวิตจิตใจ เขาขยันทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่บ้าบิ่นเพื่อสร้างสถิติโลก อย่างเช่นการเดินทางรอบโลกด้วยบอลลูน การข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยเรือเร็ว การไต่อาคารสูง ด้วยความที่ริชาร์ด แบรนสันเป็นนักธุรกิจที่มีความคิดในเชิงสร้างสรรค์ยังผลให้เขาลงทุนทำธุรกิจ ที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำธุรกิจเทคโนโลยีและพลังงานชีวภาพ หรือแม้กระทั่งแผนการลงทุนด้านยานอวกาศเพื่อให้บริการขนส่งผู้โดยสารในเชิง พาณิชย์ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจขงมหาเศรษฐีทั่วโลก ที่ต้องการเดินทางขึ้นไปท่องเที่ยวในอวกาศ สำหรับผมก็เคยเดินทางด้วยเครื่องบิน มิก-25 ขึ้นไปยังเส้นขอบโลกมาแล้วเช่นกัน จากกิจกรรมความท้าทาย ความบ้าบิ่นที่เขาชื่นชอบ ส่งผลทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นบุคคลที่สื่อทุกประเภทให้ความสนใจอยู่เสมอๆ เท่ากับเป็นการประชาสัมพันธ์องค์กรของเขาไปด้วยจึงทำให้แบรนด์?เวอร์จิ้น? กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอยู่เสมอ <br /><br /><br /><br /><br /><br />โดยวิกรม กรมดิษฐ์ <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-26129714516520628552011-09-23T02:03:50.302+07:002011-09-23T02:03:50.302+07:00ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ฝันไม่เหมือนใคร
ผมคิดว่าคนท...ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ฝันไม่เหมือนใคร <br /><br /><br /><br />ผมคิดว่าคนที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยหรือคนที่เรียนหนังสือไม่เก่งนั้น ย่อมไม่ได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ผมเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมสำหรับคนที่ทุ่มเทและมุ่งมั่นในสิ่งที่สร้าง สรรค์โดยไม่งมงาย หากคนใดมีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ย่อมจะประสบความสำเร็จได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขาเหล่านั้นจะต้องเลือกเดินให้ถูกทาง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและแนวโน้มของธุรกิจโลก ซึ่งมีเพียงทฤษฎีเดียวที่จะสามารถทำให้คนรวยคือไม่ว่าจะทำธุรกิจใดก็ตาม ธุรกิจนั้นจะต้องมีตลาดรองรับและต้องมีตลาดขนาดใหญ่พอ ตลาดนั้นก็ควรที่จะต้องมีมูลค่ามหาศาล โดยธุรกิจนั้นจะต้องมีคู่แข่งจำนวนไม่มาก และด้วยเงื่อนไขเพียงไม่กี่ข้อนี้ที่จะสามารถทำให้คนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง กลายมาเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกได้ <br /><br />ในทางกลับกันหลายคนอาจจะเป็นนัก ธุรกิจที่เก่งกาจ มีการบริหารงานและการจัดการที่เป็นเลิศ แต่หากเลือกดำเนินธุรกิจที่ไม่มีตลาดมารองรับ หรือแม้ตลาดที่มีจะมีขนาดใหญ่มาก แต่หากมีคู่แข่งจำนวนมากและแข่งขันกันอย่างดุเดือด ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ จะว่าไปแล้วการที่ บิลล์ เกตต์ สามารถร่ำรวยขึ้นมาจนเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้นั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดของโลก แต่เป็นเพราะเขาทำในสิ่งที่ตลาดต้องการมาก และด้วยความที่เขาเริ่มต้นก่อนคนอื่น ทำให้เขาได้เปรียบคู่แข่งขันรายอื่น ๆ ที่เพิ่งเข้ามาในตลาด <br /><br />ริชาร์ด แบรนสันเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบัน หากมองย้อนไปในสมัยที่เขายังเด็กนั้น ผลการเรียนของเขาอยู่ในอันดับท้ายสุดของชั้นเรียนเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากผลพวงมาจากอาการเจ็บป่วยของเขา และในสายตาของหลาย ๆ คน ต่างก็ดูถูกเขาว่าเป็นคนไม่มีความสามารถ ทั้งที่ตัวเขาเองทำทุกอย่างด้วยตนเองมาตั้งแต่เกิด เพราะแม่ของเขาเป็นคนหล่อหลอมให้เขามีความอดทน มุ่งมั่น และทะเยอทะยาน โดยไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบากแม้สักครั้งในชีวิต ทำให้เขาเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตอย่างแน่นอน จนสามารถประสบความสำเร็จโดยอาศัยความบ้าบิ่นและรักสนุก ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้แบบเขามาก่อน <br /><br />โลกใบ นี้เป็นโลกที่ท้าทายสำหรับเขา และเป็นโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกวินาทีที่ผ่านไปของเขาล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ และเขาเองก็รู้จักใช้โอกาสต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตอย่างชาญฉลาด และข้อสำคัญที่สุดือเขาทำงานอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เขาประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยวัยเพียง 58 ปีเท่านั้น ผมเคยใช้กลยุทธ์เช่นเดียวกันกับ ริชาร์ด แบรนสัน โดยตั้งเป้าหมายความฝันไว้ก่อน และมองโลกอย่างท้าทาย พร้อมทั้งหาแนวทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีคู่แข่งขัน ซึ่งผมมองว่าเป็นขั้นตอนแรกของถนนแห่งความสำเร็จที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้และประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็น <br /><br />ริชาร์ด แบรนสัน มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เขารู้จักใช้การสร้างตัวเองขึ้นมาจนตัวเขาเองกลายเป็นแบรนด์ที่มีคนรู้จัก และสนใจโดยไม่ต้องจ้างดาราดัง ๆ มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าของเขาเลย เสมือนว่าทุกวันนี้เขากลายเป็นคนที่โด่งดังไปแล้วทั่วโลก ซึ่งหากจะเปรียบเทียบแล้วคงเหมือนกับ โกโก้ ชาแนล ที่นำเอาตัวเองมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าของตนเอง <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-67162622718451646072011-09-23T02:02:41.158+07:002011-09-23T02:02:41.158+07:00ขย้ำมันซะ ! สไตล์ริชาร์ด แบรนสัน
ทั่วโลกรู้จัก...ขย้ำมันซะ ! สไตล์ริชาร์ด แบรนสัน <br /><br /><br /><br />ทั่วโลกรู้จัก ริชาร์ด แบรนสัน ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ชอบคิดนอกกรอบ และไม่ยอมแพ้ต่อกฏเกณฑ์ใดๆ จากเด็กที่มีปัญหาการเรียนจากโรคดีสเล็กเซีย (โรคผิดปกติในการอ่าน) เขาเริ่มทำนิตยสารตั้งแต่อายุ 15 ปี เป็นเจ้าของค่ายเพลงชื่อดังเมื่อยังหนุ่ม และสร้างสายการบินที่ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมายของใครๆ แม่จะพูดเสมอว่าไม่มีกฏที่ตายตัว แต่ริชาร์ด แบรนสันมีสิ่งที่ยึดถือเสมอในการดำเนินชีวิต ซึ่งอาจเป็นเคล็ดลับที่ทำให้คุณประสพความสำเร็จเช่นเดียวกัน <br /><br />จงลงมือทำ <br />ปรัชญาส่วนตัวของ ริชาร์ด แบรนสันคือ "Screw it,let 's do it" เขาเชื่อว่าหากต้องการสิ่งใด คุณต้องลงมือทำ เขาไม่ยอมให้คำว่าไม่มาเป็นอุปสรรค และไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ใดๆมาขัดขวางจากเป้าหมาย เขากระตุ้นให้ลูกน้องทุกคนลงมือทำในสิ่งที่ต้องการ เมื่อลูกน้องกล้าคิด กล้าทำ ก็จะเกิดแนวคิดใหม่ๆที่ดีต่อธุรกิจ สำหรับ ริชาร์ด แบรนสัน ทุกสิ่งย่อมมีทางเป็นไปได้ <br /><br />จงสนุกกับสิ่งที่ทำ <br />เขาเชื่อเสมอว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จึงไม่ควรปล่อยไปสูญเปล่า จงสนุกให้เต็มที่ จงรักและเอาใจใส่ครอบครัว คุณจะเห็นว่าไม่มีเรื่องเงินทองรวมอยู่เลย หากเราสนุกกับงานที่ทำ จะทำให้ผลของงานออกมาดี <br /><br />กล้าเสี่ยงแต่อย่าพนัน <br />คนทั่วไปมักมองว่าริชาร์ด แบรนสันเป็นนักธุรกิจที่บ้าบิ่น กล้าตัดสินใจโดยไม่คำนึงถึงผลได้ผลเสีย ที่จริงแล้วมีข้อแตกต่างระหว่างนักพนันกับคนที่กล้าเสี่ยงเพื่อโอกาสที่ดีกว่า ซึ่งริชาร์ด แบรนสันจัดอยู่ในกลุ่มหลัง ซึ่งเขาจะศึกษาข้อมูลและมีกระบวนความคิดที่เชื่อถือได้ เมื่อพิจารณาทั้งหมด จึงตัดสินใจได้ว่าควรจะเสี่ยงกับธุรกิจใหม่หรือไม่ อย่างไร ทุกครั้งที่ตัดสินใจควรถามตัวเองว่าคุณมีข้อมูลครบทุกด้านแล้วหรือยัง และพร้อมที่จะสูญเสียได้แค่ไหน <br /><br />แสวงหาความท้าทาย <br />ทุกคนต่างมีจุดหมายของชีวิต บางคนเรียกว่าเป้าหมาย บางคนเรียกความท้าทาย จุดมุ่งหมายนี่เองที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้าและเกิดการพัฒนา เขาชอบตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้ พยายามไม่หยุด ลองสิ่งใหม่อยู่เรื่อย และท้าทายตัวเองตลอดเวลา <br /><br />พึ่งพาตัวเอง <br />บทเรียนแรกๆที่ริชาร์ด แบรนสันเรียนรู้แต่วัยเด็กคือ การพึ่งพาตัวเอง ทุกวันนี้เขาก็สอนให้ลูกของเขาได้พึ่งพาตัวเองและเชื่อมั่นในกำลังกายและกำลังสมองของตัวเองแบบเดียวกัน <br /><br />อยู่กับปัจจุบัน <br />จงใช้เวลากับทุกๆนาทีชีวิตให้คุ้มค่าเละชื่นชมกับปัจจุบันให้เต็มที่ การใช้ชีวิตที่คำนึงถึงอนาคตจะฉุดรั้งคุณไว้จากความก้าวหน้าได้มากๆพอกับการมัวครุ่นคิดแต่ในอดีต การจะทำให่วันข้างหน้าดีขึ้นมาได้ก็ต้องเริ่มจากทำวันนี้ให้ดีที่สุดเสียก่อน <br /><br />เพื่อนและครอบครัว <br />ริชาร์ด แบรนสันเชื่อในพลังครอบครัว แม้ว่าบางครั้งครอบครัวอาจแตกแยก แต่ก็ยังเป็นกองหนุนที่ใครก็ขาดไม่ได้ บางคนอาจไม่มีครอบครัวแต่ถ้ามีกลุ่มเพื่อนที่รักและทุ่มเทให้กัน ก็นับว่าเป็นครอบครัวได้ <br /><br />สุภาพและอย่าโกง <br />ริชาร์ด แบรนสัน เรียนรู้บทเรียนความสุภาพจากนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่เขาติดต่อธุรกิจด้วย เนื่องจากการทำธุรกิจชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นนอกจากความสุภาพและปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความนับถือแล้ว ต้องไม่โกงเป็นอันขาด เขาถือหลักว่า แม้ต้องการชนะและประสบความสำเร็จเพียงใด เขาจะไม่ทำผิดกฏหมายและเอาเปรียบผู้อื่น <br /><br />จงทำความดี <br />การช่วยเหลือผู้อื่นช่วยดึงจิตใจเราจากการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง การช่วยเหลือผุ้อื่นช่วยดึงจิตใจเราจากการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง และเติมเต็มชีวิตให้รู้สึกอิ่มเอมจิตใจ หากคนทุกคนช่วยกันคนละนิด ก็จะสร้างความแตกต่างขึ้นมาได้ และทำให้โลกนี้ดีขึ้นกว่าที่เป็น <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-86783968414634192682011-09-23T02:02:08.797+07:002011-09-23T02:02:08.797+07:00...ต่อ...
Virgin Bank ฝันที่ไม่เป็นจริง
เดือ......ต่อ...<br /><br /><br /><br /><br />Virgin Bank ฝันที่ไม่เป็นจริง <br /><br />เดือนสิงหาคม ปี 2007 วิกฤติการณ์ด้านสินเชื่อเริ่มแผลงฤทธิ์ในอังกฤษ ธนาคารใหญ่อย่าง Nothern Rock จะล้มละลาย จึงตกเป็นภาระของรัฐบาลอังกฤษต้องเข้ามาอุ้ม เจน แอน การ์เดีย ผู้บริหารฝ่ายการเงินของเวอร์จินมองเห็นช่องทางที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจธนาคาร เธอเสนอว่าเวอร์จินควรเสนอตัวเข้าซื้อกิจการของ Nothern Rock โดยหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนด้วย ข้อดีคือเวอร์จินก็จะได้ขยายสู่ธุรกิจการเงิน และรัฐบาลอังกฤษก็ไม่ต้องใช้เงินภาษีของประชาชนมาอุ้มธนาคารด้วย <br /><br /><br /><br />ริชาร์ด แบรนสันเห็นด้วยทันที ทั้งเขาและเวอร์จินไม่เคยละทิ้งโอกาสแสวงหาธุรกิจใหม่ๆ เขาโทรศัพท์ไปหาประธานบริหาร Nothern Rock ซึ่งมีท่าทีตอบรับอย่างยินดีที่ เวอร์จินจะเข้ามาซื้อหุ้น ทีมงานฝ่ายการเงินของ Virgin เริ่มทำแผนงานและข้อเสนอต่างๆ ส่วนตัวเขาเองมีหน้าที่ระดมทุน ซึ่งมีผู้สนใจร่วมลงทุนหลายราย รวมแล้วเป็นเงินมูลค่าถึง 11,000 ล้านปอนด์ โดยส่วนตัวแล้ว แบรนสันเห็นว่า Nothern Rock ยังมีทางรอด เพราะระบบภายในยังดีอยู่ พนักงานก็ขยันขันแข็ง สิ่งที่ทำให้ธนาคารนี้อ่อนแอคือวิกฤติสินเชื่อและการขาดสภาพคล่อง ดังนั้นหากมีเงินทุนเข้ามา ธนาคารย่อมดำเนินการต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่านอกจากเวอร์จินแล้ว ยังมีกลุ่มทุนรายอื่นๆ หวังเข้ามาซื้อ Nothern Rock เช่นกัน <br /><br /><br /><br />แบรนสันพยายามสร้างความน่าเชื่อถือโดยเชิญเซอร์ไบรอัน พิตแมน ซึ่งเป็นนักการเงินและอดีตนายธนาคารชื่อดังมาเป็นว่าที่นายธนาคารใหม่ ที่จะได้ชื่อว่า Virgin Bank ทีแรกเวอร์จินมีโอกาสมากที่จะได้เป็นผู้ซื้อ Nothern Rock แต่เฮดจ์ฟันด์ที่ถือหุ้นธนาคารนี้อยู่ต่อต้านการเข้ามาซื้อกิจการของเวอร์จิน ขณะเดียวกันจำนวนเงินที่ต้องใช้ดูเหมือนจะสูงเกินกว่าเวอร์จินจะเสี่ยงได้ แต่ขณะที่แบรนสันกำลังคิดจะถอนข้อเสนอ รัฐบาลอังกฤษก็ยื่นมือเข้ามา โดยเสนอเงินกู้ให้กับผู้ที่จะซื้อกิจการของ Nothern Rock เวอร์จินจึงยื่นเรื่องขอกู้และยังแข่งขันราคาต่อไป <br /><br />แต่หลังจากนั้นไม่นานสื่อก็ตีข่าวที่แบรนสันขึ้นเครื่องบินลำเดียวกันกับกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่กำลังจะไปเยือนจีน เนื้อหาข่าวออกมาในทำนองว่านายกรัฐมนตรีเอนเอียงและรู้เห็นเป็นใจให้แบรนสันซื้อ Nothern Rock นายกรัฐมนตรีต้องถูกซักฟอกในสภา มีการหยิบยกเรื่องที่แบรนสันเคยเลี่ยงภาษี (เมื่อเขาอายุ 19 ปี) ขึ้นมาโจมตีว่าไม่เหมาะจะเป็นนายธนาคาร <br /><br />ขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ก็กระพือข่าวว่าเวอร์จินหวังรวยทางลัดจากการเข้าซื้อกิจการของ Nothern Rock ในราคาต่ำกว่ามูลค่าจริงถึง 40 เท่า ในที่สุดเมื่อทนแรงกดดันไม่ไหว รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจเข้ามาอุ้ม Nothern Rock ไว้เสียเอง แบรนสันและทีมงานรู้สึกผิดหวังมาก เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าปล่อยให้เขาซื้อธนาคารนี้ไป รัฐบาลจะไม่ต้องควักเงินภาษีของแผ่นดินเลย และทีมการเงินของเขายังมีศักยภาพมากกว่ารัฐบาล ในการที่จะฟื้นฟูกิจการของ Nothern Rock ด้วย <br /><br /><br /><br />ล้มแล้วก็ลุกได้ <br /><br />การพลาดหวังเรื่อง Nothern Rock ทำให้ริชาร์ด ซึมไปหลายวัน แต่มีอีกคนหนึ่งที่เขาเป็นห่วงคือเจนแอน ซึ่งทุ่มอย่างสุดตัวเพื่องานนี้มาตลอด หลังจากการประกาศอุ้ม Nothern Rock ของรัฐบาลอังกฤษ เจนแอนโทรฯ มาหาแบรนสันในวันอังคาร เขาทักเธอไปว่า "หวังว่าคุณคงไม่ได้ยืนอยู่บนยอดตึกที่ไหนสักแห่งและกำลังจะโดดนะ" เธอตอบกลับมาว่า "ไม่ต้องห่วงริชาร์ด สุดสัปดาห์นี้ฉันศึกษาข้อมูลของ Bradford&Bingley และ..." แล้วสมองของแบรนด์สันก็วิ่งจี๋อีกครั้ง "ให้ตายสิ ทำไมล่ะ" คำตอบของเจนแอนคือ "เพราะทั้งสองบริษัทดูเหมือนจะอยากถูกเทคโอเวอร์เต็มทีน่ะสิ ฟังนะ..." นี่เองคือสปิริตของ Virgin คือการก้าวไปข้างหน้าเสมอ <br /><br />สำหรับริชาร์ด แบรนสัน การผิดพลาดไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว จงเชิดหน้าแล้วก้าวต่อไป ดังคำของริชาร์ดที่ว่า "ถ้าเจ็บ ก็จงเลียแผล แล้วลุกขึ้นมาใหม่ หากได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ก็ถึงเวลาก้าวไปข้างหน้าเสียที" <br /><br /><br /><br /><br />ที่มา : หนังสือ Business Stripped Bare ศรุตยา <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-82829795702494078712011-09-23T02:01:29.514+07:002011-09-23T02:01:29.514+07:00...ต่อ...
เมื่อสู้กับยักษ์ใหญ่
ใต้ร่มเงาของแบ......ต่อ...<br /><br /><br /><br />เมื่อสู้กับยักษ์ใหญ่ <br /><br />ใต้ร่มเงาของแบรนด์ Virgin มีธุรกิจหลากหลายประเภท แต่ไม่มีครั้งไหนที่ท้าทายเท่ากับการต่อกรกับยักษ์ใหญ่ในธุรกิจน้ำอัดลม ริชาร์ด แบรนสันเขียนถึงการต่อสู้ในครั้งนั้นว่า "การเปิดศึกกับ Coca Cola เป็นเรื่องบ้า...นับเป็นหนึ่งในความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเรา" อย่างไรก็ตาม ศึกครั้งนั้นทำให้คนอเมริกันรู้จักแบรนด์ Virgin <br /><br />ในปี 1994 เวอร์จินเปิดตัวเครื่องดื่ม Virgin Cola ซึ่งเกิดจากการร่วมลงทุนระหว่างเวอร์จินกับบริษัท Cott Corporation ผู้ผลิตน้ำอัดลมสัญชาติแคนาดา Cott มีน้ำอัดลมยี่ห้อของตัวเองและส่งขายให้กับห้างค้าปลีกหลายแห่งในสหรัฐฯ ได้แก่ K Mart, Safeway, 7-Eleven และ Wal-Mart เมื่อ Virgin Cola เปิดตัวในปี 1994 ก็ประสบความสำเร็จดีในผับและร้านอาหาร ผู้บริหารของ Cott แนะนำว่า Virgin Cola มีศักยภาพตีตลาดทั่วโลก เพราะ Cott มีลูกค้าในออสเตรเลีย อังกฤษ ฮ่องกง อิสราเอล และ ญี่ปุ่น แบรนสันเล่าว่า "แต่เขาไม่เห็นด้วยถ้าเราจะสู้กับ Coke ตรงๆ...เราควรจะฟังเขาในตอนนั้น" <br /><br />สิ่งที่แบรนสันไม่รู้คือ Coke ถึงกับตั้งทีม SWAT (หน่วยปฏิบัติการพิเศษ) ขึ้นมาเพื่อสกัดกั้น Virgin Cola โดยเฉพาะ เขาน่าจะเฉลียวใจตั้งแต่ที่จู่ๆ ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของ Tesco โทรฯ มายกเลิกทั้งๆ ที่ได้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้ Virgin Cola มาวางขายในห้าง Tesco เมื่อแบรนสันโทรฯ กลับไปถามว่าทำไมถึงเปลี่ยนใจ ฝ่ายจัดซื้อให้เหตุผลมาหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือ Coke เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Tesco มานาน ถ้าเขารับ Virgin Cola มาวางขายก็กลัวว่า Coke จะถอนสินค้าไปจาก Tesco หมด <br /><br />แบรนสันอธิบายว่า ชื่อเสียงของเวอร์จินนั้นดีมากในหมู่ผู้บริโภค และที่ผ่านมา เวอร์จินไม่เคยโจมตีหรือประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับใครตรงๆ "เราเพียงเสนอตัวว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเท่านั้น" หลังจากกลับไปคิดไม่นาน ฝ่ายจัดซื้อของ Tesco ก็ตัดสินใจรับ Virgin Cola ไปวางขาย ในเวลาไม่กี่เดือนยอดขายน้ำอัดลมใน Tesco สูงขึ้นถึง 36% ในจำนวนนี้ 75% คือยอดขาย Virgin Cola <br /><br />ทีมพิฆาตของ Coke เริ่มเล่นหนักขึ้น โดยไม่ให้บริษัทผู้รับผลิตและบรรจุขวดน้ำอัดลมทั่วโลกรับงานจาก Virgin Cola ในปี 1998 Virgin Cola เพิ่มเงินลงทุนอีก 25 ล้านดอลลาร์ เพื่อทำศึกกับ Coke แบรนสันให้เปิดตัว Virgin Cola ในจตุรัสไทม์สแควร์ ของนิวยอร์ก โดยให้รถของ Virgin Cola ทำเหมือนพ่นไฟใส่ป้ายของ Coca Cola ทำเอานักท่องเที่ยวตกใจวิ่งวุ่นทั่วจตุรัส และทีมงานเวอร์จินเกือบต้องเข้าไปนอนเล่นในคุกเลยทีเดียว <br /><br />Virgin Cola ขายดีในอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม และสวิตเซอร์แลนด์ แถมยังมีหวังจะได้ขายแฟรนไชส์ไปญี่ปุ่นและอิตาลี แต่ Coke เริ่มเล่นบทโหด Coke เล่นสงครามราคา ซึ่งเวอร์จินย่อมสู้ไม่ได้ เพราะทุนไม่หนาพอ Coke ยังขู่บรรดาร้านค้าย่อยว่าจะเก็บตู้โค้กและถอนสินค้าทั้งหมดจากร้านถ้าทางร้านยังรับ Virgin Cola มาขาย ในไม่ช้ายอดขายของ Virgin Cola ก็ตกลงเรื่อยๆ และหายไปจากตลาดในที่สุด <br /><br />แบรนสันสรุปบทเรียนครั้งนี้ว่า "เราแพ้เพราะมองข้ามสถานภาพที่แข็งแกร่ง" สำหรับผู้ผลิตเครื่องดื่มโคล่า เวอร์จินไม่ใช่หนึ่งในใจผู้บริโภค แม้แบรนด์เวอร์จินจะเป็นที่นิยม แต่ Coke อยู่มานานและเหนือกว่า ที่สามารถวางสินค้าให้คนซื้อหาได้ทุกที่ ทุกเวลา Coke สามารถแข่งสงครามราคาได้ไม่อั้นเพราะมีความได้เปรียบเชิงปริมาณสินค้าที่ขายอยู่ทั่วโลก ข้อสำคัญคือ แบรนด์ Coke ได้อยู่ในใจผู้บริโภคแล้ว เมื่อซื้อเครื่องดื่มโคล่า คนส่วนใหญ่จะสั่ง Coke แบรนสันยอมรับว่า "Coca Cola เล่นบทโหดกับเรา แต่เราก็แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว" <br /><br />อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากสงครามครั้งนี้ กลับเป็นการถือกำเนิดของบริษัทเครื่องดื่ม Innocent Drinks บริษัทนี้ก่อตั้งโดยอดีตพนักงานของ Virgin Cola พวกเขาเห็นช่องว่างในตลาดเครื่องดื่มสมูธตี้ที่ทำจากผลไม้สด ปัจจุบัน Innocent Drinks มีมูลค่านับร้อยล้านดอลลาร์เลยทีเดียว <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-11182016710938031932011-09-23T02:00:43.637+07:002011-09-23T02:00:43.637+07:00...ต่อ...
สิ่งที่ไม่คาดฝัน
ธุรกิจก็เหมือนชีวิ......ต่อ...<br /><br /><br /><br />สิ่งที่ไม่คาดฝัน <br /><br />ธุรกิจก็เหมือนชีวิต คือ มีปัจจัยภายนอกมากมายที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น จู่ๆ ราคาน้ำมันก็แพงขึ้น 3 เท่า ผู้ก่อการร้ายจุดระเบิดฆ่าตัวตายกลางย่านชุมชน พายุเฮอริเคนทำลายเมืองทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง ความผันผวนของค่าเงิน และสภาพเศรษฐกิจถดถอย สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ เตรียมตัวให้พร้อมรับความเสี่ยงเหล่านั้น อย่างน้อยเมื่อเกิดหายนะขึ้นจริงๆ คุณก็ยังมีสติพอจะจัดการเรื่องต่างๆ ได้ สำหรับริชาร์ด แบรนสัน เขาได้เรียนรู้บางอย่างจากอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงที่เกิดกับรถไฟของ Virgin Train <br /><br />เวลา 18.15 น. วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2007 ขบวนรถไฟ Pendolino ซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว 100 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ตกจากรางในคัมเบรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ หญิงชราชื่อ มาร์กาเร็ต แมสสัน ซึ่งโดยสารรถไฟขบวนนี้กลับบ้านถูกเหวี่ยงไปมาในห้องโดยสารขณะที่รถไฟไถลไปตามรางและคว่ำลงบนตลิ่งทางสูงชัน มาร์กาเร็ต หรือที่ญาติๆ เรียกว่าเพกกี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ <br /><br />จนถึงเวลานั้น เป็นเวลานับสิบปีแล้วที่ขบวนรถไฟของ Virgin Train รับส่งผู้โดยสารนับล้านคนไปทั่วอังกฤษอย่างปลอดภัย นี่จึงเป็นอุบัติเหตุครั้งแรก และยังร้ายแรงถึงขั้นมีคนตายและผู้บาดเจ็บอีกหลายคน <br /><br />อุบัติเหตุเกิดขึ้นในวันที่ริชาร์ด แบรนสันและครอบครัวไปพักผ่อนเล่นสกีกันในสวิตเซอร์แลนด์ หิมะที่ตกลงมามากทำให้ทุกคนเล่นสกีอย่างสนุก และคิดว่าวันนี้เป็นวันดี แต่เมื่อกลับถึงที่พักในตอนเย็น ริชาร์ดได้รับข้อความทางโทรศัพท์ที่แจ้งข่าวอุบัติเหตุร้ายแรง หิมะที่เพิ่งทำให้ทุกคนมีความสุขนี่เองที่ทำให้เขาไม่สามารถเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ หลังจากพยายามติดต่อและนัดหมายกับผู้บริหาร Virgin Train แล้ว ริชาร์ดเช่ารถและขับกว่า 5 ชั่วโมงมาซูริก เพื่อขึ้นเครื่องบินเที่ยวแรกไปแมนเชสเตอร์ ที่สนามบิน เขาพบผู้บริหาร Virgin Train 2 คนมารออยู่แล้ว ทั้งหมดตรงไปยังพื้นที่เกิดเหตุทันที <br /><br />ระหว่างทางผู้บริหารทั้งคู่สรุปเรื่องให้ริชาร์ดฟัง จากนั้นก็ฟังข่าวจากบีบีซี ซึ่งรายงานว่าเนื่องจากตัวรถไฟไม่เสียหาย จึงทำให้มีผู้รอดชีวิตมาก รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟรุ่นใหม่ที่ผลิตให้แข็งแรงกว่าเดิม แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากรางรถไฟ จากข่าวนี้จึงทำให้ผู้บริหารเวอร์จินวางใจได้ว่า อย่างน้อยอุบัติเหตุก็ไม่ได้เกิดจากตัวรถไฟของเวอร์จิน <br /><br />เมื่อทั้งหมดมาถึงเมืองที่เกิดเหตุ พวกเขาตรงไปที่โรงพยาบาลที่รับผู้บาดเจ็บไปรักษา ตามรายงานข่าวนั้นมีผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลนี้ถึง 100 คน แต่เนื่องจากตัวรถแบบ Pendolino นั้นมีมาตรฐานความปลอดภัยดี จึงมีผู้บาดเจ็บจริงแค่ 24 คน ทว่าตัวเลขเพียงเท่านี้ก็นับว่าสูงแล้ว หลังจากนั้น ทั้งสามคนจึงตรงไปเกรย์ริก ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ เมื่อเห็นสภาพรถไฟที่ล้มนอนตะแคง แต่ทุกอย่างไม่บุบสลายแม้แต่กระจกหน้าต่าง แบรนสันนึกดีใจที่ดึงดันให้เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้รถรุ่นใหม่ <br /><br />อย่างไรก็ตาม ฮีโร่ตัวจริงของเรื่องนี้ไม่ใช่ริชาร์ด แบรนสันหรือรถไฟ Pendolino แต่คือคนขับรถไฟที่ชื่อ เอียน แบล็ค (ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่าอาวุธลับสำคัญของ Virgin ก็คือ "คน") เอียนเป็นอดีตตำรวจแต่มาทำงานขับรถไฟ เมื่อรถไฟไถลออกจากรางนั้น แทนที่จะหนีตาย เขากลับประจำที่คนขับอย่างกล้าหาญ พยายามควบคุมรถไฟและทำให้มันวิ่งช้าลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความพยายามของเขารักษาชีวิตผู้โดยสารไว้ได้มากมาย แต่ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บสาหัส แบรนสันเขียนไว้ว่า สำหรับเขาแล้ว เอียนคือฮีโรตัวจริง <br /><br />หลังจากดูที่เกิดเหตุแล้ว ริชาร์ดกับพวกผู้บริหารกลับมาที่โรงพยาบาล พวกเขาได้พบญาติๆ ของมาร์กาเร็ตผู้เสียชีวิต แบรนสันเข้าไปแสดงความเสียใจอย่างจริงใจ แต่ไม่ทันไร ก็ถูกรุมล้อมด้วยเหล่านักข่าวที่หิวกระหายข้อมูล เขานึกว่าตัวเองคงแย่แน่แล้ว แต่เพราะว่ามีข้อมูลพร้อม เขาจึงสามารถให้สัมภาษณ์นักข่าวได้ เขาแสดงความเสียใจกับครอบครัวของมาร์กาเร็ตและผู้บาดเจ็บอื่นๆ เขากล่าวชมเชยเอียน คนขับรถที่ยังนอนรักษาตัวอยู่ และเอ่ยชื่อพนักงานทุกคนบนรถไฟขบวนนี้ ที่ช่วยเหลือผู้โดยสารอย่างมีประสิทธิภาพ การมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่มีอยู่จริง ทำให้การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี <br /><br />จากอุบัติเหตุครั้งนี้ แบรนสันได้เรียนรู้ว่า แม้เรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และหลายเรื่องเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือ การทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด ดังที่ Virgin Train ยอมลงทุนสูงเพื่อให้รถไฟมีความแข็งแรง ปลอดภัย แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แบรนสันก็เรียนรู้แล้วว่า <br /><br />1. ผู้บริหารต้องไปให้ถึงที่เกิดเหตุเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ <br /><br />2. ต้องรับมือกับผู้โดยสาร พนักงาน และนักข่าวอย่างมีประสิทธิภาพ <br /><br />3. ต้องให้ข้อมูลอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา <br /><br />หากทำได้ดังนี้ สถานการณ์ก็จะคลี่คลายไปในที่สุด <br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-19480545534004839712011-09-23T01:59:58.316+07:002011-09-23T01:59:58.316+07:00ล้มแล้วต้องลุกได้...ริชาร์ด แบรนสัน
ในเมื่อ Bu...ล้มแล้วต้องลุกได้...ริชาร์ด แบรนสัน <br /><br /><br /><br />ในเมื่อ Business Stipped Bare เขียนโดยริชาร์ด แบรนสัน มันจึงแตกต่างจากหนังสือธุรกิจเล่มอื่นๆ อย่างแน่นอน คุณจะไม่พบโครงสร้างเนื้อหาตามทฤษฎีธุรกิจ แต่จะเห็นภาพการสร้างอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาจากศูนย์ คุณจะไม่พบกราฟประกอบคำอธิบาย ไม่พบกรณีศึกษา แต่จะได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของนักคิดนอกกรอบผู้ตั้งธุรกิจตั้งแต่อายุ 16 คุณจะพบการเล่าอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาถึงความเป็นมาของ Virgin ตั้งแต่ปรัชญาธุรกิจ การสร้างคน สร้างแบรนด์ และการอุทิศตัวเพื่อสังคม ไม่เว้นแม้แต่ข้อผิดพลาดที่หลายคนคงอยากปิดเงียบไว้ (แต่จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้อ่านอย่างแน่นอน) <br /><br /><br /><br /><br />จงเรียนรู้จากข้อผิดพลาด <br /><br /><br />เคล็ดลับความสำเร็จของเวอร์จินที่ใครๆ ก็รู้ดีแต่ยากจะเลียนแบบคือ "คน" ริชาร์ดเคยเขียนไว้ว่า เขาอยากให้เรียกแผนก "ทรัพยากรบุคคล" ว่า “แผนกคน" มากกว่า สำหรับริชาร์ด การศึกษาไม่ใช่คุณสมบัติสำคัญที่สุด แต่เป็น "สปิริต" เขาเชื่อว่าถ้าให้โอกาส ทุกคนจะคิดสิ่งดีๆ ได้ และสามารถพัฒนาตัวเองได้เต็มศักยภาพ เขายังเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง และเขียนไว้ว่า "ที่เวอร์จิน เราต่างเรียนรู้ที่จะเตรียมตัวรับความจริง แม้รสชาติมันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม เพราะความผิดพลาดมักเกิดขึ้นเมื่อผู้บริหารพยายามหลีกเลี่ยงความจริง คุณต้องไว้ใจให้คนของคุณเรียนรู้จากความผิดพลาด การตำหนิและกล่าวโทษกันไม่มีประโยชน์เลย" และตัวเขาเองก็เล่าถึงความผิดพลาดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เราจึงได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของเขาในวันนี้ <br /><br /><br /><br /><br /><br />บทเรียนราคาแพง-อย่าเลี่ยงกฎหมาย <br /><br /><br />ริชาร์ด แบรนสันเล่าถึงความผิดพลาดครั้งนี้ว่า "ในปี 1969 ผมได้ทำความผิดพลาดครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิต...40 ปีต่อมาผมก็ยังหนีไม่พ้นคำครหา" นั่นคือเหตุการณ์เมื่อแบรนสันอายุ 19 ปี เขาขับรถขนแผ่นเสียงไปประเทศเบลเยียม และได้ค้นพบว่า ถ้าสั่งซื้อแผ่นเสียงเพื่อจุดประสงค์ในการส่งออกจะได้รับการยกเว้นภาษี หนุ่มน้อยแบรนสันไม่รอช้า เขามองเห็นช่องทางและโอกาสทันที <br /><br />"ผมซื้อแผ่นเสียงที่ต้องการ โดยทำเป็นการซื้อเพื่อส่งออก แต่ที่จริงเป็นการซื้อมาขายต่อให้ลูกค้าในประเทศอังกฤษนี่เอง กระบวนการประกอบด้วยการขับรถบรรทุกแผ่นเสียง 4 คันไปที่เมืองโดเวอร์ ขึ้นเรือข้ามฟากไปฝรั่งเศส แล้วขึ้นเรือข้ามฟากอีกลำกลับมาโดยยังมีแผ่นเสียงบรรทุกอยู่เต็มคันรถ เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นเรื่องโง่สุดๆ ด้วย..." <br /><br />ในเดือนพฤษภาคม ปี 1969 ริชาร์ด แบรนสัน ถูกจับได้พร้อมของกลาง เขาถูกขังคุก และพ่อแม่ต้องเอาโฉนดบ้านไปประกันตัวเขาออกมา สรรพากรตกลงจะไม่ดำเนินคดีริชาร์ดแต่เขาต้องชดใช้เป็นเงิน 3 เท่าของมูลค่าภาษีที่หลีกเลี่ยง ซึ่งก็คือ 60,000 ปอนด์ (ประมาณ 3,120,000 บาทในปัจจุบัน) <br /><br />ริชาร์ดยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกือบดับไฟฝันในการทำธุรกิจของเขาเสียแล้ว "โชคดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น แต่มันเป็นบทเรียนราคาแพงที่สอนให้ผมรู้ว่า อย่าได้ทำผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรมเด็ดขาด" หลังจากหายช็อค ริชาร์ดและเพื่อนร่วมงานก็ช่วยกันคิดและตกลงว่าจะทำงานหามรุ่งหามค่ำขยายธุรกิจให้โตเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อชดใช้หนี้ก้อนนี้และช่วยให้เขาไม่ต้องขึ้นศาล <br /><br />"ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี แต่ผมได้บทเรียนสำคัญ คือ อย่าทำสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้คุณไม่อาจหลับตาลงได้ในยามกลางคืน" <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />...Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.com