tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post7016802274911337225..comments2023-11-28T15:37:13.009+07:00Comments on เว็บไซต์การเรียนรู้ ประภัสรา โคตะขุน: การสอนแบบ Inquiry Cycles (5Es)Prapasara.Comhttp://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comBlogger14125tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-83765816497842265102010-12-18T16:18:28.232+07:002010-12-18T16:18:28.232+07:00ชื่อเรื่อง (ไทย) : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส...ชื่อเรื่อง (ไทย) : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 <br />โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ <br />(อังกฤษ) : MATHAYOMSUKSA IV STUDENTS’ LEARNING <br />ACHIEVEMENT THROUGH PHYSICS TEACHING BY USING <br />INQUIRY CYCLE <br />2. คำสำคัญ : <br />- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ <br />- วัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ <br />3. ปีที่ทำการวิจัยเสร็จ : 2551 <br />4. ชื่อผู้วิจัย : นายวิสาคร เศษรักษา <br />Mr.Wisakorn Setraksa <br />5. อาจารย์ที่ปรึกษา : รองศาสตราจารย์ ดร.สันติ วิจักขณาลัญฉ์ <br />Assoc.Prof. Dr. Santi Wijakkanalan <br />6. ที่อยู่ของผู้วิจัย : บ้านเลขที่ 74 หมู่ 4 ตำบลบ้านฝาง อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น 40170 <br />7. ประเภทของงานวิจัย : การศึกษาอิสระ <br />8. ที่เก็บผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ : ห้องสมุดคณะศึกษาศาสตร์ และสำนักวิทยบริการ <br />มหาวิทยาลัยขอนแก่น <br />ส่วนที่ 2 สรุปผลงานวิจัย <br />1. บทคัดย่อ <br />การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ของ <br />นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (2) เพื่อพัฒนา <br />ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีจำนวนนักเรียนไม่ <br />น้อยกว่าร้อยละ 70 ที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้น <br />มัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนน้ำพองศึกษา อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ในภาคเรียนที่ 2 <br />ปีการศึกษา 2550 จำนวน 38 คน <br />การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งเป็น 3 วงจรปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ใน <br />การวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน ใช้เวลา 16 ชั่วโมงแบบสังเกตการสอน แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล <br />ใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการศึกษาพบว่า (1) กิจกรรมการเรียนการสอน ขั้นสร้างความสนใจ ครูจัดกิจกรรม <br />ที่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ โดยการสาธิตหน้าชั้นเรียนทำให้นักเรียนกำหนดประเด็นที่จะ <br />ศึกษา แสดงความสนใจ ขั้นสำรวจและค้นหา ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนได้ลงมือ <br />ปฏิบัติการทดลองจริง นักเรียนมีความสนใจในการเรียน มีความสนุกสนาน กระฉับกระเฉงและ <br />กระตือรือร้นในการทำกิจกรรม ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้อธิบายผล <br />การสำรวจตรวจสอบโดยผ่านสื่อคอมพิวเตอร์ นักเรียนช่วยกันอภิปรายจนได้ข้อสรุป และนักเรียน <br />กล้าแสดงออก ขั้นขยายความรู้ ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้จากการสำรวจตรวจสอบ <br />กับความรู้อื่นๆ นักเรียนได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ขั้นประเมิน ครูจัดกิจกรรมให้ <br />นักเรียนวิเคราะห์หรืออภิปรายซักถามแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกันโดยการเขียน Concept <br />mapping ทำให้นักเรียนได้วิเคราะห์กระบวนการสร้างความรู้ของตนเอง ประเมินความก้าวหน้า <br />และความรู้ของตนเอง (2) นักเรียนร้อยละ 73.68 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 <br />ของคะแนนเต็ม <br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-17636838992111161622010-12-18T16:17:38.502+07:002010-12-18T16:17:38.502+07:00การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แ...การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) <br /><br />บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 3) เพื่อศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 4) เพื่อศึกษาความคิดเห็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/11 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น จำนวน 48 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ระยะเวลาที่ใช้ 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( X) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบสมมุติฐานแบบ t – test dependent ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 81.85 / 81.93 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สูงขึ้น 4. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ในภาพรวมเห็นด้วยระดับมากที่สุด ( x= 4.61) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 2.28 ) <br /><br />สร้างโดย: อ.จรูญศักดิ์ รินสาธรPrapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-71487507918083240542010-12-15T19:45:41.869+07:002010-12-15T19:45:41.869+07:00การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
ความหมาย
อ...การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้<br /> <br />ความหมาย<br /><br /><br /> อนันต์ จันทร์กวี(2523) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการส่งเสริมให้นัก<br />เรียนรู้จักคิดด้วยตนเอง รู้จักค้นคว้าหาเหตุผลและสามารถแก้ปัญหาได้ โดยการนำเอาวิธี<br />การต่างๆของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ <br /> ดวงเดือน เทศวานิช (2535) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นรูปแบบการสอน<br />ที่เน้นทักษะการคิดอย่างมีระบบ โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ซึ่งต้องมี<br />หลักฐานสนับสนุน<br /> กู๊ด (Good.1973) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นเทคนิคหรือกลวิธีอย่างหนึ่ง<br />ในการจัดให้เกิดการเรียนรู้เนื้อหาบางอย่างของวิชาวิทยาศาสตร์ โดยกระตุ้นให้นักเรียนมี<br />ความอยากรู้อยากเห็น เสาะแสวงหาความรู้โดยการถามคำถามและพยายามค้นหาคำตอบ<br />ให้พบด้วยตนเอง <br /> <br />รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle หรือ 5Es)<br /> 1.การสร้างความสนใจ (Engage) ขั้นแรกของกระบวนการเรียนรู้ เข้าสู่บทเรียน ทำให้ผู้<br /> เรียนสนใจ ใคร่รู้ในกิจกรรมที่จะนำเข้าสู่บทเรียน<br /> 2. การสำรวจและค้นหา (Explore) ทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ร่วมกันในการสร้างแล<br /> พัฒนาความคิดรวบยอด กระบวนการและทักษะ<br /><br /> 3. การอธิบาย (Explain) ขั้นตอนนี้ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ความสามารถในการ<br /> อธิบายความคิดรวบยอดที่ได้จากการสำรวจและค้นหา<br /><br /> 4. การขยายความรู้(Elaborate) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนได้ยืนยัน ขยายหรือเพิ่มเติมความรู้ความ<br /> เข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น <br /> 5. การประเมินผล (Evaluate) ในขั้นตอนนี้นักเรียนจะได้รับข้อมูล เกี่ยวกับความรู้ความ<br /> เข้าใจ ระหว่างการเรียนการสอน ครูอธิบายและมีการประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้<br /> เรียนด้วยPrapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-24936816048755252422010-12-15T19:42:14.653+07:002010-12-15T19:42:14.653+07:00ชื่อเรื่อง การศึกษาผลการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ร...ชื่อเรื่อง การศึกษาผลการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม เรื่อง ไฟฟ้ากระแสประกอบการจัดการเรียนรู้แบบ5E(Inquiry cycle) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกุดบากพัฒนาศึกษา อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร <br />ชื่อผู้ศึกษาค้นคว้า นายอดุลย์ศักดิ์ สาริบุตร <br />สังกัด โรงเรียนกุดบากพัฒนาศึกษา อำเภอกุดบาก <br />สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนคร เขต 2 <br />ปีที่พิมพ์ 2551 <br />บทคัดย่อ <br />การศึกษาในครั้งนี้มี จุดมุ่งหมายเพื่อ <br />1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม เรื่องไฟฟ้ากระแสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประกอบการเรียนเรียนรู้แบบ5E(Inquiry Cycle) <br />2) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประกอบการเรียนเรียนรู้แบบ5E ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ คือ 80/80 <br />3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบ5E(Inquiry Cycle) <br />กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกุดบากพัฒนาศึกษา อำเภอกุดบาก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนคร เขต 2 ประจำปีการศึกษา 2551 จำนวน 1 ห้อง มี 45 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม <br />รูปแบบการศึกษา ผู้ศึกษาได้ใช้กระบวนการวิจัยกึ่งทดลอง(Quisi-experimental Research) <br />เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา <br />1.แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E (Inquiry Cycle)รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม4 เรื่องไฟฟ้ากระแส จำนวน 8 แผน 19 ชั่วโมง <br />2.หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)เรื่อง กระแสไฟฟ้า <br />3.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม4 เรื่องกระแสไฟฟ้า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 45 คน จำนวน 40 ข้อ <br />4.แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ5E(Inquiry Cycle) <br />การวิเคราะห์ข้อมูล <br />สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ <br />ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าดัชนีความสอดคล้องIOC ความเที่ยงตรง อำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น และ ค่า t-test (t-test Dependent Sample) <br />สรุปผลการศึกษา <br />1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม4 (ว40204)เรื่อง ไฟฟ้ากระแส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม4(ว40204) เรื่องไฟฟ้ากระแสประกอบการจัดการเรียนรู้แบบ5E(Inquiry Cycle)สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />2. ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม4(ว40204) เรื่องไฟฟ้ากระแสประกอบการจัดการเรียนรู้แบบ5E(Inquiry Cycle)ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.02/82.17 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่วางไว้ <br />3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม4(ว40204) เรื่องไฟฟ้ากระแส ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบ5E(Inquiry Cycle)ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X=4.51)Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-20375387582923485542010-12-15T19:39:59.273+07:002010-12-15T19:39:59.273+07:00ชื่อเรื่อง (ไทย) : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส...ชื่อเรื่อง (ไทย) : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 <br />โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ <br />(อังกฤษ) : MATHAYOMSUKSA IV STUDENTS’ LEARNING <br />ACHIEVEMENT THROUGH PHYSICS TEACHING BY USING <br />INQUIRY CYCLE <br />2. คำสำคัญ : <br />- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ <br />- วัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ <br />3. ปีที่ทำการวิจัยเสร็จ : 2551 <br />4. ชื่อผู้วิจัย : นายวิสาคร เศษรักษา <br />Mr.Wisakorn Setraksa <br />5. อาจารย์ที่ปรึกษา : รองศาสตราจารย์ ดร.สันติ วิจักขณาลัญฉ์ <br />Assoc.Prof. Dr. Santi Wijakkanalan <br />6. ที่อยู่ของผู้วิจัย : บ้านเลขที่ 74 หมู่ 4 ตำบลบ้านฝาง อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น 40170 <br />7. ประเภทของงานวิจัย : การศึกษาอิสระ <br />8. ที่เก็บผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ : ห้องสมุดคณะศึกษาศาสตร์ และสำนักวิทยบริการ <br />มหาวิทยาลัยขอนแก่น <br />ส่วนที่ 2 สรุปผลงานวิจัย <br />1. บทคัดย่อ <br />การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ของ <br />นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (2) เพื่อพัฒนา <br />ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีจำนวนนักเรียนไม่ <br />น้อยกว่าร้อยละ 70 ที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้น <br />มัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนน้ำพองศึกษา อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ในภาคเรียนที่ 2 <br />ปีการศึกษา 2550 จำนวน 38 คน <br />การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งเป็น 3 วงจรปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ใน <br />การวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน ใช้เวลา 16 ชั่วโมงแบบสังเกตการสอน แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล <br />ใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการศึกษาพบว่า (1) กิจกรรมการเรียนการสอน ขั้นสร้างความสนใจ ครูจัดกิจกรรม <br />ที่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ โดยการสาธิตหน้าชั้นเรียนทำให้นักเรียนกำหนดประเด็นที่จะ <br />ศึกษา แสดงความสนใจ ขั้นสำรวจและค้นหา ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนได้ลงมือ <br />ปฏิบัติการทดลองจริง นักเรียนมีความสนใจในการเรียน มีความสนุกสนาน กระฉับกระเฉงและ <br />กระตือรือร้นในการทำกิจกรรม ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้อธิบายผล <br />การสำรวจตรวจสอบโดยผ่านสื่อคอมพิวเตอร์ นักเรียนช่วยกันอภิปรายจนได้ข้อสรุป และนักเรียน <br />กล้าแสดงออก ขั้นขยายความรู้ ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้จากการสำรวจตรวจสอบ <br />กับความรู้อื่นๆ นักเรียนได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ขั้นประเมิน ครูจัดกิจกรรมให้ <br />นักเรียนวิเคราะห์หรืออภิปรายซักถามแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกันโดยการเขียน Concept <br />mapping ทำให้นักเรียนได้วิเคราะห์กระบวนการสร้างความรู้ของตนเอง ประเมินความก้าวหน้า <br />และความรู้ของตนเอง (2) นักเรียนร้อยละ 73.68 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 <br />ของคะแนนเต็มPrapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-42948638307614407732010-12-15T19:39:01.457+07:002010-12-15T19:39:01.457+07:00การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แ...การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) <br /><br />บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 3) เพื่อศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 4) เพื่อศึกษาความคิดเห็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/11 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น จำนวน 48 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ระยะเวลาที่ใช้ 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( X) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบสมมุติฐานแบบ t – test dependent ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 81.85 / 81.93 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สูงขึ้น 4. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ในภาพรวมเห็นด้วยระดับมากที่สุด ( x= 4.61) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 2.28 ) <br /><br />สร้างโดย: อ.จรูญศักดิ์ รินสาธรPrapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-39172147049333507722010-12-15T19:38:36.149+07:002010-12-15T19:38:36.149+07:00ประภารัตน์ สิงหเสนา:
ผลของการใช้วงจรการเรียนรู้ ...ประภารัตน์ สิงหเสนา: <br /><br />ผลของการใช้วงจรการเรียนรู้ 5E ร่วมกับแผนผังเชิงโต้แย้งที มีต่อผลสัมฤทธิ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการประยุกต์ความรู้ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น. <br /><br />(EFFECTS OF USING 5E LEARNING CYCLE WITH ARGUMENT <br />MAPPING ON SCIENCE LEARNING ACHIEVEMENT AND ABILITY IN APPLYING <br />KNOWLEDGE OF LOWER SECONDARY SCHOOL STUDENTS) <br /><br />อ. ที ปรึกษา <br />วิทยานิพนธ์หลัก: อาจารย์ ดร. วัชราภรณ์ แก้วดี, 123 หน้า. <br /><br /><br />การวิจัยครั้งนี มีวัตถุประสงค์เพื อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อน <br />เรียนและหลังเรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E ร่วมกับแผนผังเชิงโต้แย้ง 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ <br />ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนระหว่างกลุ่มที เรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E ร่วมกับแผนผังเชิง <br />โต้แย้งกับกลุ่มทีเรียนวิทยาศาสตรโดยใช้การเรียนการสอนแบบปกติ 3) เปรียบเทียบความสามารถในการประยุกต์ <br />ความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E ร่วมกับแผนผังเชิงโต้แย้ง 4) เปรียบเทียบ <br />ความสามารถในการประยุกต์ความรู้หลังเรียนระหว่างกลุ่มที เรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E ร่วมกับ <br />แผนผังเชิงโต้แย้งกับกลุ่มที เรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้การเรียนการสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ <br />นักเรียนมัธยมศึกษาปีที 2โรงเรียนจิตรลดา ปีการศึกษา 2552 แบ่งเป็นกลุ่มทดลองซึ งได้รับการจัดการเรียนการสอน <br />วิทยาศาสตร์โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E ร่วมกับแผนผังเชิงโต้แย้ง และกลุ่มเปรียบเทียบซึ งได้รับการจัดการเรียนการ <br />สอนวิทยาศาสตร์โดยใช้การเรียนการสอนแบบปกติ เครืองมือทีใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบผลสัมฤทธิ ทางการ <br />เรียนวิทยาศาสตร์และแบบสอบความสามารถในการประยุกต์ความรู้ สถิติท ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลีย <br />ค่าเฉล ยี ร้อยละ ส่วนเบ ยี งเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที (t-test) <br />ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี <br />1. นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉล ยี ผลสัมฤทธิ ทางการเรียนวิทยาศาสตรห์ ลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง <br />มนี ัยสำคัญทางสถิติท รี ะดับ .05 <br />2. นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลียผลสัมฤทธิ ทางการเรียนวิทยาศาสตรห์ ลังเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่ม <br />เปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท รี ะดับ .05 <br />3. นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉล ยี ความสามารถในการประยุกต์ความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง <br />มนี ัยสำคัญทางสถิติท รี ะดับ .05 <br />4. นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉล ยี ความสามารถในการประยุกต์ความรู้หลังเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่ม <br />เปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท รี ะดับ .05Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-57069808716925136152010-12-15T19:38:12.071+07:002010-12-15T19:38:12.071+07:00การพัฒนาสมรรถภาพครูวิทยาศาสตร์ในการสอนแบบสืบเสาะ
...การพัฒนาสมรรถภาพครูวิทยาศาสตร์ในการสอนแบบสืบเสาะ <br />ตามกระบวนการ 5 E <br />A Development of Science Teacher Competency <br />In Using 5 E Inquiry Approach <br />สุนันท์ สังข์อ่อง <br />Sunan Sung-ong <br />บทคัดย่อ <br />การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ <br />1. ศึกษาสมรรถภาพด้านความรู้ความเข้าใจในการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E ของครูวิทยาศาสตร์หลังได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการ <br />2. เพื่อประเมินสมรรถภาพด้านทักษะการเขียนแผนการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E ของครูวิทยาศาสตร์หลังได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการ <br />3. เพื่อศึกษารูปแบบความต้องการในการพัฒนาสมรรถภาพของครูวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง เป็นครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จำนวน 30 คน ที่ได้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการในการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E วิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนวณหาค่าร้อยละจากค่าความถี่ของคะแนนจากการตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิจัยพบว่า <br />1. หลังการอบรมเชิงปฏิบัติการครูวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าได้รับความรู้ความเข้าใจในระดับมากทุกหัวข้อเนื้อหา <br />2. ครูวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีทักษะการจัดทำแผนการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E ในระดับปานกลาง <br />3. ครูวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะได้รับการพัฒนาสมรรถภาพในด้านความรู้และทักษะในเรื่องต่างๆเพิ่มเติมเช่น เทคนิคการสอน การผลิตสื่อ <br />และการประเมินตามสภาพจริง <br />วัตถุประสงค์ของการวิจัย <br />1. เพื่อศึกษาสมรรถภาพด้านความรู้ความเข้าใจในการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E ของครูวิทยาศาสตร์หลังได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการ <br />2. เพื่อประเมินสมรรถภาพด้านทักษะการเขียนแผนการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E ของครูวิทยาศาสตร์หลังได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการ <br />3. เพื่อศึกษารูปแบบความต้องการในการพัฒนาสมรรถภาพของครูวิทยาศาสตร์ในการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E <br />อุปกรณ์และวิธีการ <br />กลุ่มตัวอย่าง <br />กลุ่มตัวอย่างเป็นครูวิทยาศาสตร์ที่สอนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จำนวน 30 คน ซึ่งมาเข้ารับการอบรมปฏิบัติการในโครงการกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบปัญญาพัฒนา ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา เอกมัย ในวันที่ 29-30 กรกฎาคม 2545 <br />เครื่องมือการวิจัย <br />1. โปรแกรมการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการใช้เวลา 2 วัน มีหัวข้อเนื้อหาดังนี้ <br />1.1 หลักการและแนวคิดของการสอนแบบสืบเสาะ <br />1.2 กระบวนการสืบเสาะตามขั้นตอน 5 E <br />1.3 กิจกรรมในแต่ละขั้นตอนของ 5 E <br />1.4 บทบาทครูและนักเรียน <br />1.5 การจัดทำแผนการสอนแบบสืบเสาะ <br />1.6 การประเมินผลการเรียนรู้ <br />1.7 สื่อแหล่งเรียนรู้และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ <br />2. แบบประเมินตนเองด้านความรู้ความเข้าใจในการสอนแบบสืบเสาะ <br />3. แบบประเมินทักษะการจัดทำแผนการสอนแบบสืบเสาะ <br />การวิเคราะห์ข้อมูล <br />หลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมผู้วิจัยให้ครูประเมินตนเองด้านความรู้ความเข้าใจในการสอนแบบสืบเสาะและผู้วิจัยประเมินแผนการสอนที่ครูจัดทำขึ้นโดยให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดในแบบประเมิน นอกจากนี้ยังให้ครูแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการได้รับความรู้และหัวข้อเนื้อหาที่ต้องการพัฒนาเพิ่มเติม ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนวณหาค่าร้อยละจากค่าความถี่ของคะแนนจากการตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง และนำเสนอในรูปแบบตาราง <br />วิจารณ์ <br />จากผลการวิจัยที่พบว่าการอบรมเชิงปฏิบัติการช่วยทำให้ครูมีสมรรถภาพด้านความรู้ความเข้าใจในระดับมากในทุกหัวข้อเนื้อหา แต่เมื่อประเมินด้านทักษะพบว่าสามารถเขียนแผนการสอนได้ในระดับปานกลางอาจเป็นเพราะครูยังไม่คุ้นเคยกับกระบวนการทั้ง 5 ขั้น ต้องอาศัยประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงจึงจะสามารถเขียนแผนการสอนได้ในระดับดีขึ้น และเกณฑ์การประเมินประเมินในเรื่องต่าง ๆ ที่ครูยังไม่ได้เขียนครอบคลุมทุกหัวข้อ <br />สรุปและข้อเสนอแนะ <br />ผลการวิจัยครั้งนี้สรุปได้ว่าการฝึกอบรมปฏิบัติการสามารถพัฒนาสมรรถภาพด้านความรู้ความเข้าใจในการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E ได้และในการให้ความรู้ควรครอบคลุมเนื้อหาย่อย ๆ ดังตารางที่ 1และในการประเมินการเขียนแผนการสอนแบบสืบเสาะตามกระบวนการ 5 E อาจนำเกณฑ์ตามตารางที่ 2 ไปใช้เป็นแนวในการจัดทำแผนการสอนได้Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-7380936824895766512010-12-15T19:37:46.323+07:002010-12-15T19:37:46.323+07:00รายงานการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ชีวิตสัตว์ ...รายงานการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ชีวิตสัตว์ (แบบ 5E) <br /><br /><br />ชื่อเรื่องวิจัย รายงานการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยการเรียนรู้ <br />แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ว23101 <br />ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ <br />อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ <br /><br />ผู้วิจัย นางอุไรรัตน์ พูนเพ็ชร <br /><br />ปีที่พิมพ์ 2552 <br /><br />บทคัดย่อ <br /><br />การเรียนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์มีความสำคัญต่อการพัฒนานักเรียน โดยเฉพาะในระดับชั้นประถมศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีความสำคัญที่ต้องจัดการเรียน การสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ และมีทักษะกระบวนการขั้นพื้นฐานของการเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์อย่างฝังแน่น ทั้งนี้เพื่อรองรับการเรียนรู้ที่สอดคล้องในระดับการศึกษาขั้นสูงต่อไป ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนต้องพัฒนากิจกรรมโดยใช้เทคนิควิธีการที่มีความหลากหลายตามแนวคิดที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) เป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แบบหนึ่ง ที่ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้ ที่ต้องอาศัยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยการค้นหาคำตอบด้วยตัวผู้เรียนเอง การศึกษาครั้งนี้จึงมีความมุ่งหมาย (1).เพื่อศึกษาค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 และค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยวิธีการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ (2). เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจากการใช้แผนการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยวิธีการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และ (3). เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยวิธีการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 จำนวน 51 คนโรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เครื่องมือศึกษา คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยแบ่งออกเป็นสาระหน่วยย่อยได้ 7 หัวข้อเรื่อง (รวมทั้งสิ้น 20 แผน) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ มีค่าความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง 0.6 – 0.8 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.3 – 0.4 โดยมีค่าความเชื่อมั่นของชุดข้อสอบเท่ากับ 0.9 แบบสอบถามวัดความพึงพอใจมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.6 ส่วนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent Samples) <br />ผลการวิจัยพบว่า รายงานการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ว 23101 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ มีประสิทธิภาพโดยรวมของแผนการเรียนรู้ทุกหน่วยย่อยเรื่อง ชีวิตสัตว์ เท่ากับ 92.23/80.54 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ของมาตรฐานโรงเรียนที่ตั้งไว้ และค่าดัชนีประสิทธิผลความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรียนจากการใช้แผนการเรียนรู้โดยรวมของหน่วยเรียนรู้ทุกหน่วยย่อยเรื่อง ชีวิตสัตว์ เท่ากับ 0.69 (69%) ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีต่อแผนการเรียนรู้โดยรวมของหน่วยเรียนรู้ทุกหน่วยย่อยเรื่อง ชีวิตสัตว์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และพบนักเรียนมีความพึงพอใจมากต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น(5E) ทุกรายขั้นโดยรวม <br />การวิจัยครั้งนี้ ทำให้ได้สร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ว 23101 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ที่มีประสิทธิภาพ สมารถนำไปใช้พัฒนาผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ดังนั้นครูและผู้เกี่ยวข้องที่สนใจควรมีการพัฒนาการเรียนรู้ที่ใช้กิจกรรมการสืบเสาะหาความรู้ที่หลากหลาย ประยุกต์ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา จะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น นำไปสู่การเรียนที่มีความภาคภูมิใจและมีความสุขPrapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-64201253916380736202010-12-15T19:37:23.023+07:002010-12-15T19:37:23.023+07:00รายงานผลการใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E
บ...รายงานผลการใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E <br /><br /><br />บทคัดย่อ รายงานผลการใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80 2) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5Eเรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน4) เพื่อศึกษาเจตคติต่อการเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนหนองทุ่มวิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 19 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากตั้งแต่ .45 - .75 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ .22 - .73 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 4) แบบวัดเจตคติต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ 0.26 -0 .68 และมีค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test แบบ Dependent Sample ผลการศึกษาพบว่า 1. ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 85.68/89.65 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 2. ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.7562 หรือคิดเป็นร้อยละ 75.62 3. นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. นักเรียนมีเจตคติต่อการเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักรการเรียนรู้ 5E อยู่ในระดับมาก <br /><br /><br />ละมัย วงคำแก้วPrapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-14063524657292232792010-12-15T04:42:59.500+07:002010-12-15T04:42:59.500+07:00การพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แ...การพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5<br /><br />ชื่อเรื่อง การพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5<br /><br />ชื่อผู้ศึกษา อัจฉรา ธีระวิทยาภรณ์<br /><br />สถานที่ศึกษา โรงเรียนสองห้องพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์<br />สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์เขต 1 จังหวัดบุรีรัมย์ <br /><br />บทคัดย่อ<br /><br />การพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ของนักเรียน กับการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาเท่าเทียมกัน เพื่อให้ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความถนัดของนักเรียนแต่ละประเภท นักเรียนมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญและส่งเสริมให้นักเรียนมีคุณลักษณะที่ดี มีปัญญาและมีความสุขในการเรียน กระบวนการเรียนรู้แบบ 4 MAT ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า (1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 (2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ คือ ประกอบด้วยนักเรียนชาย - หญิง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนสองห้องพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียน 28 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบความพึงพอใจของนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย t - test (Dependent Sample) ผลการศึกษา พบว่า <br /><br />1. แผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ <br />แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพกระบวนการ (E1 / E2) เท่ากับ 95.31/ 95.12 ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80 / 80 <br /><br />2. ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของการพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.895<br /><br />3. ค่าเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br /><br />4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 4 MAT เรื่อง ฟังก์ชันลอการิทึม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด<br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-9755244642761063662010-12-15T04:36:28.604+07:002010-12-15T04:36:28.604+07:00การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ก...การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ <br /><br />ชื่อเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ <br />เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 <br />ผู้รายงาน นางนิดาพร สุธัญญรัตน์ <br />กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ <br />โรงเรียน ขุนหาญวิทยาสรรค์ <br />สังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ปีที่พิมพ์ 2552 <br /><br />บทคัดย่อ <br /><br />การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ <br />เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 44 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โดยการสุ่มอย่างง่าย ดำเนินการทดลองโดยใช้แผนการทดลองแบบ One – Group Pretest – Postest Design <br />เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 8 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบปรนัย แบบอิงเกณฑ์ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ .31 – .72 และค่าความเชื่อมั่น .91 3) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 ฉบับ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 10 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .27 ถึง .95 และมีความเชื่อมั่น เท่ากับ .91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีประสิทธิผล และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test <br /><br />ผลการพัฒนาปรากฏดังนี้ <br /><br />1. คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนจากการทำแบบทดสอบท้ายแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 125.45 จากคะแนนเต็ม 160 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 83.60 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.67 ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของคะแนนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 33.81 คิดเป็นร้อยละ 82.10 ดังนั้นประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็น 83.60/82.10 ซึ่งไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ <br />2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการ <br />เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเท่ากับ .6546 ซึ่งแสดงว่า หลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนจากแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นแล้วผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.46 <br />3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 <br />4. ผลวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก คือ 4.42 <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-11838405298661800452010-12-15T04:33:52.683+07:002010-12-15T04:33:52.683+07:00การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เ...การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องสารประกอบไฮโดรคาร์บอน <br /><br />บทคัดย่อ<br /> ชื่องานวิจัย : การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องสารประกอบไฮโดรคาร์บอน <br />โดย : กนกวรรณ สะกีพันธ์<br />ชื่อปริญญา : วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต<br />สาขาวิชา : วิทยาศาสตร์ศึกษา<br />ประธานกรรมการที่ปรึกษา : ดร.ประนอม แซ่จึง<br />ศัพท์สำคัญ : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน<br /> การค้นคว้าอิสระในครั้งนี้ได้พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องสารประกอบไฮโดรคาร์บอน รายวิชาเคมี 5 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนทุ่งไชยพิทยา รัชมังคลาภิเษก อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการค้นคว้าประกอบด้วย (1) แผนจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (2) แบบบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และ (4) แบบประเมินความพึงพอใจโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ร้อยละ และ t-test ในการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและประเมินความพึงพอใจ ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนหลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 ด้วยดัชนีประสิทธิผลนักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.10 จากผลการวิเคราะห์แบบประเมินความพึงพอใจ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เท่ากับ 79.11/75.16 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้<br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-8142321144549211362010-12-15T04:29:26.389+07:002010-12-15T04:29:26.389+07:00รายงานผลการใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่าน...รายงานผลการใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E <br /><br /><br />โดย นางบุณณดา ผลภาษี<br /><br /><br />ครูชำนาญการ โรงเรียนวัดท่าทราย (พิมพานุสร)<br /><br /><br />บทคัดย่อ<br /><br /> <br /><br /> รายงานผลการใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าทราย (พิมพานุสร) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครนายก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 7 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมมีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 81.60/83.01 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ที่กำหนด 2) ผลการวิเคราะห์คะแนนความสามารถในการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าทราย (พิมพานุสร) ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการทดสอบด้วยค่าสถิติ t –test พบว่าคะแนนความสามารถในการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าทราย (พิมพานุสร) หลังการใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าคะแนนความสามารถในการอ่านและการเขียนของนักเรียนก่อนใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าทราย (พิมพานุสร) ที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5 E กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.46,ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50)Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.com