tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post7360451192454799155..comments2023-11-28T15:37:13.009+07:00Comments on เว็บไซต์การเรียนรู้ ประภัสรา โคตะขุน: บิล เกตส์Prapasara.Comhttp://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comBlogger14125tag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-7361972047717439952011-01-20T03:33:01.871+07:002011-01-20T03:33:01.871+07:00บิล เกตส์ เลือกใช้ Host ที่มีระบบปฏิบัติการอย่าง L...บิล เกตส์ เลือกใช้ Host ที่มีระบบปฏิบัติการอย่าง Linux? <br /><br /><br />จั่วหัวแบบงงๆแต่ถ้าอ่านให้จะเห็นว่า บิล เกตส์ เจ้าของไมโคซอฟต์ แต่ดันเลือกมาใช้ Host ที่มีระบบปฏิบัติการอย่าง Linux <br />ชักเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วผมว่าเราไปหาคำตอบจากแหล่งข่าวนี้ดีกว่า <br /><br />TechCrunch ได้รับข่าวลือมาว่า เว็บไซต์ใหม่ของคุณบิล เกตส์ thegatesnotes.com ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นลีนุกช์ จึงได้ลองใช้ Netcraft ตรวจสอบ พบว่าเป็นเว็บไซต์ดังกล่าวทำงานทั้งบนลีนุกซ์และวินโดวส์ (โดยใช้ IIS 7.0 จัดการเว็บในฝั่งวินโดวส์) จึงเป็นไปได้ที่เว็บไซต์ดังกล่าวใช้ Akamai เชื่อมไปยังแหล่งคอนเทนต์สำรองในกรณีที่มีทราฟิกมากเกินเซิร์ฟเวอร์หลักจะรับไหว (รวมถึงการถูกโจมตีแบบ DDoS) และ Akamai นี้แหละที่ใช้ลีนุกซ์ <br /><br />เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมาก็เลยมีข่าวลือว่าไมโครซอฟท์ใช้็Hosting ลีนุกซ์รันเว็บไซต์ microsoft.com ซึ่งความเป็นจริงก็ไม่ได้ต่างจากกรณีนี้เลย คือ ไมโครซอฟท์ใช้ Akamai ซึ่งรันบนHOSTลีนุกซ์ในการค้นหา (routing) เส้นทางรันส่งข้อมูล <br /><br />ที่มา: http://blognone.com <br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-18479582371653859472011-01-20T03:32:01.355+07:002011-01-20T03:32:01.355+07:00ต่อ...
ทั้งนี้ แน่นอนว่าในฐานะของมหาเศรษฐีเจ้าขอ...ต่อ...<br /><br /><br />ทั้งนี้ แน่นอนว่าในฐานะของมหาเศรษฐีเจ้าของมูลนิธิที่มีเม็ดเงินมหาศาล พร้อมความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ย่อมมีคนจำนวนมากจากหลายโครงการทั่วโลกร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ แต่มูลนิธิจะเลือกช่วยเหลืออย่างไร ? <br /><br />สำหรับประเด็นนี้บิลล์ เกตส์ อธิบายว่า เมื่อมองรอบด้านแล้วก็จะเห็นว่าเรื่องปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับคนทุกคนในโลกนี้ก็คือ มีสุขภาพดีขึ้น และไม่ใช่เรื่องของการรักษาชีวิตไว้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการ ลดการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย นอกจากนี้จะต้องเปิดโอกาส ให้เด็ก ๆ ได้เล่าเรียน <br /><br />มหาเศรษฐีใจบุญคู่นี้ได้กล่าวถึงงานของมูลนิธิผ่านจดหมายเปิดผนึกทางเว็บไซต์ว่า มูลนิธิได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อจัดการกับปัญหายาก ๆ บางปัญหา อาทิ ความยากจนแร้นแค้น และความด้อยคุณภาพของระบบสาธารณสุข ในประเทศกำลังพัฒนา ความล้มเหลวของระบบการศึกษาของสหรัฐ และเหตุผลที่ทั้งคู่เลือกทุ่มเทกับปัญหาไม่กี่ปัญหาเนื่องจากคิดว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่ก่อให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่ และให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่สามารถใช้ชีวิตให้ดีที่สุดได้ <br /><br />ในประเด็นเหล่านี้มูลนิธิได้สนับสนุนแนวคิดด้าน นวัตกรรมที่จะช่วยขจัดอุปสรรคดังกล่าว เช่น เทคนิคใหม่ ที่ช่วยให้เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาสามารถปลูกพืชได้มากขึ้นและมีรายได้มากขึ้น อุปกรณ์เครื่องมือใหม่ ๆ ที่ช่วยป้องกันโรคร้าย ตลอดจนวิธีการใหม่ ๆ ที่ช่วยการเรียนการสอนในห้องเรียน <br /><br />อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเงินมหาศาลและแนวคิดที่ดี แต่ทั้งคู่ยอมรับว่า บางโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิก็ล้มเหลว แต่เขาและเธอก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป เพราะเชื่อว่าบทบาทสำคัญของ "ความใจบุญ" ก็คือการเดิมพันกับทางออกอันเปี่ยมด้วยความหวังที่บรรดารัฐบาลและภาคธุรกิจอาจไม่สามารถทำได้ และหากโครงการใดประสบความสำเร็จก็จะแบ่งปันความรู้เหล่านั้นเพื่อเอื้อประโยชน์ แก่คนอื่น ๆ ด้วย <br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-7046909230988194852011-01-20T03:31:35.708+07:002011-01-20T03:31:35.708+07:00จาก "ทำเงิน" สู่ "ปันเงิน" เส้...จาก "ทำเงิน" สู่ "ปันเงิน" เส้นทาง "บิลล์ เกตส์" คนรวยช่วยโลก <br /><br /><br />ตามแนวคิดสมัยเก่า ตัวเลขผลกำไรขาดทุนอาจเป็นดัชนี ชี้วัด "ความสำเร็จ" เพียงประการเดียวของหลายองค์กรธุรกิจ แต่ในโลก "ใหม่" ที่ถูกรุมเร้าด้วยสารพัดปัญหาทั้งจากน้ำมือ "มนุษย์" และ "ธรรมชาติ" การรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ หรือแนวคิด "CSR" ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นพันธกิจสำคัญที่นอกจากจะช่วยเยียวยาและจรรโลงโลกให้น่าอยู่แล้ว ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กรไปพร้อม ๆ กัน <br /><br />เช่นเดียวกับบรรดามหาเศรษฐีคนดังในวงการธุรกิจโลกอย่าง "บิลล์ เกตส์" ที่แม้จะสร้างชื่อจากการเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของไมโครซอฟท์ แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเขาในแง่ของการเป็นเศรษฐีใจบุญอาจโดดเด่นมากกว่าโดยเฉพาะหลังจากเดือนกรกฎาคม 2549 ที่เขาประกาศว่าจะอุทิศตนเพื่องานการกุศลของมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ มากขึ้น พร้อมลดบทบาทในแวดวงธุรกิจลง <br /><br />นอกจากนี้ เมื่อช่วงกลางปีนี้เกตส์ร่วมกับ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ประธานและซีอีโอของเบิร์กไชร์ แฮธอะเวย์ ได้ประกาศดำเนินโครงการ "เดอะ กีฟวิ่ง เพลดจ์" เชิญชวนมหาเศรษฐีและตระกูลคนรวยในสหรัฐให้แบ่งปันความร่ำรวยส่วนใหญ่ให้กับการกุศล ซึ่งปัจจุบันมีมหาเศรษฐีแสดงความจำนงร่วมโครงการแล้ว 58 คน โดยรายล่าสุดก็คือมหาเศรษฐีรุ่นเล็กอย่าง "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กที่ร่วมโครงการเมื่อเดือนธันวาคม <br /><br />วกกลับมาที่แนวคิดการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของ "เกตส์" ที่ก่อตั้งมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ ขึ้นเมื่อปี 2537 โดยมอบหมายให้วิลเลียม เอช. เกตส์ ซีเนียร์ เป็นผู้บริหารมูลนิธิ ซึ่งก่อตั้งขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่า ทุกชีวิตในโลกนี้มีคุณค่าเท่าเทียมกัน และมูลนิธิต้องการช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี สำหรับในประเทศกำลังพัฒนานั้นมูลนิธิเน้นช่วยให้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น และหลุดพ้นจากความยากจนและหิวโหย ส่วนในสหรัฐจะมุ่งดำเนินโครงการเพื่อสร้างความมั่นใจว่า คนทุกคนโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส จะมีโอกาสในชีวิตมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะประสบ ความสำเร็จด้านการศึกษาและชีวิตโดยรวม <br /><br />เจ้าพ่อไมโครซอฟท์เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ "This Week with Christiane Amanpour" เกี่ยวกับ "การให้" โดยอธิบายว่า ความใจบุญเป็นสิ่งที่แพร่หลายง่าย และ ตอนนี้มีคนใจบุญกว่า 40 คนเข้าร่วมโครงการเดอะ กีฟวิ่ง เพลดจ์ ขณะที่อีกหลายคนจะเข้ามาร่วมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า <br /><br />"เมื่อคุณได้ยินเรื่องคนอื่น "ให้" บ่อยครั้งขึ้น ก็จะกระตุ้นให้คุณทำมากขึ้นเหมือนกัน และคนที่เข้าร่วมโครงการนี้ล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของคนอื่น ซึ่งทำให้พวกเราต้องการทำให้เงินเหล่านี้สร้างประโยชน์สูงสุด" <br /><br />ที่ผ่านมาเกตส์พร้อมด้วยเมลินดา เกตส์ คู่ชีวิตของเขา ได้บริจาคเงิน ตลอดจนใช้ความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมเพื่อพยายามแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกผ่านทางกองทุนส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ <br /><br />เมลินดา เกตส์ บอกเล่าเกี่ยวกับ "การทำเงิน" จากธุรกิจและการตัดสินใจ "สละเงิน" เพื่อเพื่อนมนุษย์ว่า ทั้งเธอและบิลล์ เกตส์ ต่างพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการตอบแทนสังคมมานานแล้ว เพราะทั้งคู่ต่างเติบโตมาในครอบครัวที่มองว่าการทำงานอาสาสมัคร และการตอบแทนสังคมเป็นสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง <br /><br />นอกจากนี้ เธอไม่เคยวัดความสำเร็จจากตัวเลข แต่กลับมองว่าการบริจาคเงินกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ให้กับโครงการต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่เธอภาคภูมิใจ และเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดที่เธอเคยทำมา <br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-26096273887486686702011-01-20T03:29:13.216+07:002011-01-20T03:29:13.216+07:00บิล เกตส์ เผยโลกใกล้ได้วัคซีนป้องกันไข้มาลาเรีย
...บิล เกตส์ เผยโลกใกล้ได้วัคซีนป้องกันไข้มาลาเรีย <br /><br /><br /><br />บิล เกตส์ เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ <br /><br />มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกอย่าง บิล เกตส์ เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ เผยว่า ขอเวลาอีก 3 ปี โลกจะมีวัคซีนป้องกันไข้มาลาเรีย <br /><br />บิล เกตส์ เป็นนักรณรงค์ต่อต้านไข้มาลาเรียคนสำคัญ ซึ่งโรคนี้คร่าชีวิตประชากรโลกปีละหลายล้านคนส่วนใหญ่เป็นเด็ก เขาก่อตั้งมูลนิธิและใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการต่อสู้กับโรคนี้ โดยมีความเชื่อว่าสามารถกำจัดไข้มาลาเรียให้หมดไปจากโลกได้เหมือนกับไข้ ทรพิษ แม้ในขณะนี้โลกยังไม่มีวัคซีนป้องกันไข้มาลาเรีย แต่ก็ใกล้เต็มทีแล้ว ล่าสุดอยู่ในการทดลองขั้นที่ 3 หรือขั้นสุดท้าย คาดว่าสามารถผลิตเป็นวัคซีนได้ภายใน 3 ปี แต่สำหรับวัคซีนชนิดที่ใช้ได้ผลเต็มที่จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5-10 ปี <br /><br />บิล เกตส์ แสดงความกังวลว่า ประเทศพัฒนาอาจนำเงินที่จะให้ความช่วยเหลือต่างประเทศไปใช้รับมือกับการ เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เขาเตือนว่า จะเป็นความผิดพลาดหากทำเช่นนี้ เพราะเงินให้ความช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเงินที่ช่วยรักษาชีวิต ปรับปรุงสุขภาพประชาชน และช่วยหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เขาต้องการความมั่นใจว่าการจัดการปัญหาโลกร้อนจะไม่เบียดบังเงินที่นำไปช่วย เหลือโครงการที่สำคัญ เช่นการพัฒนายาและวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />เนื้อหาโดย : สำนักข่าวไทย อ.ส.ม.ท. <br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-33149984629566322942011-01-20T03:25:28.701+07:002011-01-20T03:25:28.701+07:00วิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ
บิล เกตส์
1. เป็นนักปฏ...วิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ <br /><br />บิล เกตส์ <br />1. เป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง <br />- เกตส์จะไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีผลต่อการตัดสินใจ แต่กลับเป็นคนที่พิจารณาความสมเหตุสมผลเป็นที่ตั้ง โดยมีผลประโยชน์เป็นสำคัญ <br />2. เป็นผู้ที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ชนะเสมอ เป็นผู้ชอบการแข่งขัน <br />- ความสำเร็จของเกตส์ส่วนหนึ่งเกิดจากความกล้าที่จะสู้กับทุกอย่าง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในตลาดให้ได้ <br />3. ชอบการเคลื่อนไหวตลอดเวลา <br />- เกตส์เป็นคนที่มองโลกตามที่มันเป็นจริงและพยายามคิดที่จะขายอะไรก็ได้ให้โลกทั้งโลก <br />4. เป็นคนที่ไม่กลัวความเสี่ยง <br />- เมื่อเกตส์ต้องวิเคราะห์และแสวงหาวิธีการทางธุรกิจในแบบฉบับของตนเอง เกตส์เป็นคนที่สุขุมยิ่งนักเมื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยง <br />5. เป็นนักเจรจาชั้นยอด <br />- เห็นได้จากการที่ไมโครซอฟท์สามารถประมูลงานในการพัฒนาซอฟท์แวร์ให้กับ IBM ในขณะบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จัก ในขณะที่ต้องแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มากมาย <br /><br />ผู้เขียน <br />1. เป็นนักทฤษฎีมากกว่านักปฏิบัติ <br />- เป็นคนที่คิดอะไรด้วยความละเอียดรอบคอบมากเกินไป บางทีกว่าจะได้ลงมือทำอะไรคนอื่นก็อาจทำไปเรียบร้อยแล้ว <br />2. เป็นคนที่ชอบการแข่งขัน ชอบทำในสิ่งที่ท้าทายความสามารถ <br />- เพราะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูง และการที่เราได้แข่งขันนั้นเปรียบเสมือนการฝึกฝนความคิดของเราให้แหลมคมและมีประสบการณ์ต่างๆ มากขึ้น เชื่อว่าไม่มีอะไรที่คนเราไม่สามารถทำได้ถ้ายังทำสิ่งนั้นให้ถึงที่สุด <br />3. ชอบพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ <br />- คิดว่าโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นคนที่หยุดนิ่งอยู่กับที่จะไม่สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้ <br />4. เป็นคนที่พยายามลองทำในสิ่งใหม่ๆ เสมอเมื่อมีโอกาสและความพร้อม <br />- เป็นคนที่เชื่อว่าคนเราไม่ได้ประสบความสำเร็จกันในครั้งแรกที่ลงมือทำ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสก็จะลงมือทำถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะมีความเสี่ยงก็ตาม โดยคิดว่าถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จแต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับ คือ ประสบการณ์และเมื่อมีประสบการณ์เราก็มีมุมมองที่กว้างขึ้น โอกาสผิดพลาดก็น้อยลงในที่สุดความสำเร็จก็ต้องรออยู่ข้างหน้า <br />5. ชอบการเจรจาต่อรอง <br />- เนื่องจากทำให้เราได้พัฒนาทักษะในการโน้มน้าวจิตใจคน ได้เรียนรู้วิธีการในการเอาชนะใจคน และการสร้างความสัมพันธ์อันดีเพื่อโอกาสในอนาคต <br />__________________________________________________________________________________________________________________ <br /><br />เอกสารอ้างอิง <br />- Des Dearlove (2002). คิดและบริหารแบบนี้สิรวยแน่ บิล เกตส์ บุรุษที่รำรวยที่สุดในโลก สำนักพิมพ์ GOOD MORNING <br />- http://en.wikipedia.org <br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-61118681643393032512011-01-20T03:25:09.490+07:002011-01-20T03:25:09.490+07:00หัวข้อเรื่อง ศึกษาอัตชีวประวัติของบิล เกตส์
บิล...หัวข้อเรื่อง ศึกษาอัตชีวประวัติของบิล เกตส์ <br /><br /><br />บิล เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 บิดามีอาชีพเป็นนักกฎหมายของบริษัท มารดาเป็นสมาชิกคณะกรรมการของสมาคมต่างๆ ชื่อเต็มของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม เกตส์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาดีมาตั้งแต่เด็ก เขาสามารถอ่านหนังสือเอ็นไซโคพีเดียในขณะที่มีอายุเพียง 8 ปีและมีพรสวรรค์ทางด้านคณิตศาสตร์อย่างมาก โดยเขาเริ่มหลงใหลในคอมพิวเตอร์ด้วยวัยเพียง 12 ปีและมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อยู่ในระดับไฮสคูล โดยโรงเรียนที่เกตส์เข้าศึกษาในระดับไฮสคูล คือ โรงเรียนเลคไซด์ เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กที่ฉลาด และหลังจากการศึกษาระดับไฮสคูล เกตส์ก็ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในสาขากฎหมาย แต่ในระหว่างการศึกษาที่ฮาร์วาร์ด เกตส์ก็ได้ตัดสินใจพักการเรียนเพื่อร่วมกับเพื่อนเขา คือ พอล อัลเลน ในการก่อตั้งบริษัทซอฟท์แวร์ต่อมาก็คือ บริษัทไมโครซอฟท์ <br /><br />สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านอัตชีวประวัติของ บิล เกตส์ ได้แก่ <br /><br />1. รู้จักจุดประกายความคิด และทำให้ความคิดนั้นออกมาเป็นรูปธรรมในโลกแห่งการค้า <br />- เกตส์มีความเชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่มีอยู่แล้วในตัวของมันเองในทุกหนแห่ง เพียงแต่ว่าใครจะสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้ด้วยวิสัยทัศน์เท่านั้น <br />2. ต้องมีความรู้อย่างแท้จริงในสิ่งที่สนใจ โดยที่มีความขยันมั่นเพียร และอดทน <br />- เห็นได้จากการที่เกตส์ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเขากับคอมพิวเตอร์เพื่อทำการพัฒนาซอฟท์แวร์ <br />3. เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ เมื่อโอกาสมาถึง <br />- เกตส์เป็นตัวอย่างที่ดี จากการที่เขารู้ว่าระบบปฏิบัติการที่พัฒนาให้กับ IBM นั้น จะเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ได้ ทำให้เขาใช้เวลาทำงานยาวนานกว่า 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าโอกาสเมื่อมันมาถึงจะต้องตกเป็นของไมโครซอฟท์อย่างแน่นอน <br />4. การมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล <br />- เกตส์ได้เดินตามวิสัยทัศน์ของเขาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของไมโครซอฟท์ “คอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานทุกแห่งและในบ้านทุกหลัง” <br />5. อยู่ให้ถูกที่ถูกเวลา <br />- เห็นได้เมื่อเกตส์ได้ทำการพัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับ PC เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในอเมริกาเริ่มขยายตัว ซึ่งถ้าเกตส์พัฒนาซอฟท์แวร์นี้ในเวลาที่ช้ากว่านี้ก็อาจจะมีคู่แข่งขันเยอะ หรือในช่วงเวลาที่เร็วเกินไปก็ไม่มีตลาดที่จะรองรับซอฟท์แวร์ <br />6. พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ <br />- เกตส์ เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยเป็นอย่างมาก เขาลงทุนด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากจากรายได้ที่ไมโครซอฟท์ได้รับ เพื่อมองหาสิ่งที่ใหญ่กว่าและใหม่กว่าอยู่ตลอดเวลา <br />7. มีจุดยืนที่ชัดเจน <br />- เกตส์เน้นย้ำและเคร่งครัดในสิ่งที่ตัวเขาถนัดและสามารถทำได้ดีอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ การพัฒนาซอฟท์แวร์ <br />8. เรียนรู้เพื่อความอยู่รอด <br />- เกตส์ได้ทำการสร้างกลไกการเรียนรู้อย่างเปิดกว้างในไมโครซอฟท์ โดยเขาเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการหลีกเลี่ยงภาวะอิ่มตัว รวมไปถึงการป้องกันความผิดพลาดที่ดีที่สุด <br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-38362918356463744842011-01-20T03:22:29.704+07:002011-01-20T03:22:29.704+07:00บิลล์เกตส์เชื่ออีก 5 ปี "คนจะเรียนผ่านเน็ต
...บิลล์เกตส์เชื่ออีก 5 ปี "คนจะเรียนผ่านเน็ต <br /><br /><br />บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ แสดงวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาไว้บนเวทีงาน Techonomy ซึ่งจัดขึ้นที่แคลิฟอร์เนียเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบิลล์ เกตส์มองอนาคตของโลกการศึกษาว่า อินเทอร์เน็ตจะเป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ของประชากรโลกในอีก 5 ปีนับจากนี้ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา <br /><br />"อีก 5 ปีนับจากนี้ คุณจะสามารถค้นหาเลกเชอร์หลายๆ บทที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างอิสระจากเว็บไซต์" ซึ่งเกตส์เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะดีกว่าการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งเดียว <br /><br />ความเชื่อนี้ของเกตส์เกิดขึ้นเพราะปัจจัยเสริม 2 ด้าน หนึ่งคือด้านค่าใช้จ่ายของการเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยในสหรัฐฯนั้น ค่าใช้จ่ายของการเรียนมหาวิทยาลัยโดยเฉลี่ยนั้นสูงถึง 200,000 เหรียญต่อ 4 ปี (ราว 6.3 ล้านบาท) ปัจจัยที่ 2 คือข้อจำกัดของตำราเรียน ซึ่งโลกอินเทอร์เน็ตจะมีผลให้นักศึกษาในเอเชียสามารถเข้าถึงตำราเรียนได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น <br /><br />เกตส์มองว่าการศึกษาผ่านเว็บไซต์ในอนาคตจะมีการให้เครดิตหรือใบประกาศที่สามารถนำไปอ้างอิงเพื่อการประกอบอาชีพได้ เชื่อว่าอัตราค่าเล่าเรียนที่นักศึกษาอเมริกันต้องชำระจะลดลงจาก 50,000 เหรียญต่อปี (ราว 1.5 ล้านบาท) ลงมาอยู่ที่ 2,000 เหรียญต่อปี (ราว 63,000 บาท) <br /><br />วิสัยทัศน์ของเกตส์นั้นถูกมองว่าสมเหตุสมผล เนื่องจากการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตไม่เพียงจะสามารถแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายสูงซึ่งเป็นปัญหาในหลายครอบครัวแล้ว ยังสามารถรองรับการเรียนแบบไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะในแง่จำนวนนักเรียนที่มากขึ้น ที่สำคัญ ขณะนี้สถาบันการศึกษาจำนวนมากต่างมีสื่อการสอนออนไลน์ที่เปิดกว้างให้นิสิตสามารถเข้าถึงได้จากออนไลน์อยู่แล้ว หากนักศึกษาอิสระจะใช้ประโยชน์จากสื่อการสอนเหล่านี้บ้าง ก็ย่อมเป็นไปได้โดยง่าย <br /><br />สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แปลว่ามหาวิทยาลัยและโรงเรียนจะลดความสำคัญในสังคมลง แต่สถาบันการศึกษาจะมีผลต่อสังคมในวงกว้างขึ้นเนื่องจากสามารถเปิดกว้างให้ผู้ใฝ่เรียนทั่วไปเข้ามาศึกษาหาความรู้ได้มากขึ้นด้วยเงินไม่มาก ขณะเดียวกันนักเรียนก็สามารถทำงานและสนับสนุนตัวเองได้ง่ายขึ้นขณะเรียน โดยขณะนี้ รูปแบบการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตแนวคิดเดียวกับเกตส์นั้นเกิดขึ้นแล้วในชื่อ The Open University เปิดให้บริการในบางกลุ่มประเทศ และเปิดกว้างให้ผู้ใฝ่รู้สามารถเรียนรู้ที่บ้านและรับใบประกาศได้ในราคาประหยัด <br /><br />** ยืนยันควรแจกแล็ปท็อปเด็ก ** <br /><br />งานนี้ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิหนึ่งแล็ปท็อปเพื่อเด็ก 1 คนหรือ One Laptop Per Child อย่างนิโคลัส เนโกรพอนเต (Nicholas Negroponte) ออกมาให้ความเห็นบนเวทีกรณีแรงต่อต้านเรื่องการแจกคอมพิวเตอร์พกพาราคาประหยัดแก่เยาวชนในประเทศกำลังพัฒนา ว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์หากมูลนิธิจะดำเนินการแจกคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างเดียวโดยไม่พัฒนาการศึกษาด้านอื่นควบคู่ไปด้วย จุดนี้เนโกรพอนเตระบุว่าไม่จริง เนื่องจากพบว่านอกจากเด็กๆ จะสามารถใช้งานแล็ปท็อปได้เองแล้ว ยังสามารถสอนให้ผู้ปกครองอ่านและเขียนภาษาบนแล็บท็อปได้ด้วย <br /><br />"เยาวชนในพื้นที่ห่างไกลไม่เพียงสอนตัวเองให้อ่านและเขียนได้ เราพบว่าในเปรู เด็กๆ สามารถสอนผู้ปกครองให้อ่านหรือเขียนบนแล็ผท็อปของตัวเองด้วย" <br /><br />เนโกรพอนเตยกตัวอย่างเยาวชนในอัฟกานิสถาน ว่าเยาวชนมากกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้ไปโรงเรียนกว่า 75% เป็นเด็กหญิง อย่างไรก็ตาม การสำรวจยังพบว่าคุณครูชาวอัฟกันราว 1 ใน 4 เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ โดยอีกส่วนเป็นคุณครูที่จบการศึกษาในระดับที่เหนือกว่านักเรียนเพียง 1 ระดับเท่านั้น <br /><br />จุดนี้เองที่เนโกรพอนเตมองว่าเยาวชนจะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในประเทศได้ โดยขณะนี้ คอมพิวเตอร์พกพาในโครงการ OLPC ราว 2 ล้านเครื่องถูกจัดส่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาเรียบร้อยแล้ว <br /><br />เนโกรพอนเตย้ำว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ เจียดเงินงบประมาณเพียง 1% จากงบจัดหายุทโธปกรณ์ 2,000 ล้านเหรียญต่อสัปดาห์ เยาวชนอัฟกันก็จะมีคอมพิวเตอร์พกพาใช้งานกันทุกคน <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-35268822193108565122011-01-20T03:20:40.611+07:002011-01-20T03:20:40.611+07:00คุณภาพคน-คุณภาพการศึกษา บทเรียนจาก 'บิล เกตส์&...คุณภาพคน-คุณภาพการศึกษา บทเรียนจาก 'บิล เกตส์' <br /><br /><br />ชีวิต 'บิลเกตส์' เป็นชีวิตที่น่าสนใจศึกษา ตามประวัติเขาได้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาใช้และทดลองเขียนโปรแกรมตั้งแต่อายุ 13 ขวบ และก็หมกมุ่นอยู่กับมันตลอด แม้เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้วก็ตาม จากนั้นจึงลาออกและมาตั้งบริษัท ซึ่งประสบความสำเร็จ <br /><br />เอ่ยชื่อ "บิล เกตส์" ขึ้นมา ใครๆ ก็ต้องร้องอ๋อ เพราะเขาคือมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท ไมโครซอฟท์ ที่ครอบครองตลาดระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ทำเอาคนใช้คอมพิวเตอร์ของโลกเอาไว้ในมือมากที่สุด ขนาดทำเอาคนใช้คอมพิวเตอร์โดยทั่วๆ ไปคิดว่าวินโดวส์ก็คือคอมพิวเตอร์ไปเลย ทั้งที่จริงๆ แล้ววินโดวส์เป็นชื่อของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการหนึ่งเท่านั้น ยังมีระบบปฏิบัติการยี่ห้ออื่นๆ อีกมากมายหลากหลาย แต่สัดส่วนคนใช้ต่ำมากเมื่อเทียบกับวินโดวส์ <br /><br />ถึงวันนี้บิล เกตส์ ในวัย 52 ปี จบชีวิตการทำงานประจำของเขาใน ไมโครซอฟท์ แล้วด้วยการออกจากตำแหน่งประธานบริษัทตามกำหนดที่ประกาศไว้ล่วงหน้ามานาน และก็คงหันไปทำงานการกุศลกับมูลนิธิของเขา ปล่อยให้บริษัทเดินไปด้วยตัวของมันเอง <br /><br />ชีวิตของเกตส์ เป็นชีวิตที่น่าสนใจศึกษาอยู่มาก ตามประวัติเขาได้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาใช้และทดลองเขียนโปรแกรมตั้งแต่อายุ 13 ขวบ และก็หมกมุ่นอยู่กับมันมาตลอดแม้กระทั่งเมื่อเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้วก็ตาม <br /><br />เรียนอยู่ได้แค่สองปีก็ลาออกมาตั้งบริษัท ไมโครซอฟท์ กับ พอล อัลเลน แล้วสร้างระบบปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ [คำไม่พึงประสงค์]ส ขึ้นมา ซึ่งค่อยๆ ขยายตัวตีกินระบบปฏิบัติการอื่นๆ มาเรื่อยๆ จนมาสร้างระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่ปรับปรุงเรื่อยมาถึงปัจจุบัน <br /><br />มหาวิทยาลัยที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขามากนัก แต่การมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาเองสนใจสำคัญต่อชีวิตของเขามากกว่า และก็ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในเส้นทางที่เขาเลือก ตัดความยอกย้อนในชั้นเชิงทางธุรกิจออกไปก็ยังต้องยอมรับความสามารถของเขา <br /><br />ผมคิดว่าตรงนี้แหละครับคือคุณค่าจากชีวิตของเกตส์ที่น่าสนใจ <br /><br />ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การหันหลังให้กับมหาวิทยาลัยหรือการเรียนมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ไร้ค่า (ซึ่งอาจจะจริงก็ได้) แต่อยู่ที่การทุ่มเทในสิ่งที่ตัวเองสนใจจนเกิดความถนัดและเชี่ยวชาญ การขวนขวายหาความรู้และการลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่ต้องนั่งรอความรู้ที่ป้อนจากชั้นเรียนเท่านั้น <br /><br />บังเอิญว่าในช่วงไม่นานมานี้มีโอกาสได้คุยกับเด็กจบมหาวิทยาลัยหลายต่อหลายคน ที่เรียนมาในสาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง สิ่งที่น่าเศร้าใจก็คือเด็กเหล่านี้ขาดประสบการณ์การทดลองและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเห็นได้ชัด สี่ปีที่ร่ำเรียนมามีประสบการณ์เพียงแค่การทำโปรเจ็คต์ส่งเท่าที่วิชาเรียนกำหนด <br /><br />บางคนหนักกว่าที่คิดมากนะครับ ทำโปรเจ็คต์เว็บไซต์ส่งอาจารย์ แต่ไม่เคยทำเว็บไซต์จริงๆ ชนิดเอาข้อมูลทั้งหมดขึ้นไปไว้บนเซิร์ฟเวอร์ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ในสิ่งแวดล้อมของโลกปัจจุบัน มีบริการพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ฟรีๆ ให้สามารถทดสอบอยู่มากมายก่ายกอง แม้แต่ของมหาวิทยาลัยผมก็เชื่อว่ามีให้ใช้ มีอะไรให้เล่นให้ลองทำอยู่มากมาย <br /><br />แล้วมัวทำอะไรอยู่ในมหาวิทยาลัยตั้งสี่ปี <br /><br />ลูกสาวผมเรียนแค่ ม.6 ยังมีประสบการณ์ในการทำเว็บไซต์เองมาตั้งแต่ ม.ต้น จนแทบจะเป็นสิบเว็บแล้ว ขนาดไม่เคยเรียนด้านเว็บ โปรแกรมมิ่ง เธอยังขวนขวายหาหนังสือหนังหามาอ่าน เรียนรู้การเขียนโค้ดต่างๆ เอง ไปแข่งได้รางวัลมาแล้วก็หลายทีแม้จะเป็นระดับพื้นๆ ก็เถอะ นี่ขนาดเป็นสิ่งที่สนใจอันดับสองรองจากการวาดรูปนะครับ <br /><br />ความจริงจะสรุปว่าเด็กทุกวันนี้ขาดแรงจูงใจในการใฝ่รู้ก็น่าจะถูกต้อง แต่อาจจะถูกต้องเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งสถาบันการศึกษาก็ควรจะรับไปแบกไว้บนบ่าด้วยเหมือนกัน ว่าไม่สามารถเป็นสถานที่ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความใฝ่รู้ขึ้นมาในตัวเด็กได้ จึงล้มเหลวกันไปทั้งผู้เรียนและผู้สอน <br /><br />ถ้าเด็กส่วนใหญ่ที่เรียนมหาวิทยาลัยเป็นเหมือนเด็กหลายคนที่ผมได้คุยด้วยนี่ อนาคตประเทศไทยน่าเป็นห่วงครับ <br /><br />เพราะเหมือนกับเข้าไปเรียนตามธรรมเนียมที่สั่งสอนกันมาเพื่อ "กระดาษแผ่นเดียว" กันจริงๆ <br /><br /><br />ที่มา มติชน http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=38462&catid=14 <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-82273490751347027212011-01-20T03:17:48.277+07:002011-01-20T03:17:48.277+07:00เศรษฐีเม็กซิกันเบียดบิล เกตส์ ตกอันดับรวยที่สุดในโ...เศรษฐีเม็กซิกันเบียดบิล เกตส์ ตกอันดับรวยที่สุดในโลก <br /><br /><br /><br />เศรษฐีเม็กซิกันรวยแซงบิล เกตส์-เหตุหุ้นพุ่ง <br /><br /><br />มหาเศรษฐี “บิล เกตส์” เจ้าของและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ บุคคลร่ำรวยที่สุดของโลก ครอบครองทรัพย์สินอยู่ราว 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกนายคาร์ลอส สลิม เฮลู ชาวเม็กซิกัน วัย 67 ปี มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจการสื่อสาร บริษัทการเงิน บริษัทอุตสาหกรรม และธุรกิจอีกหลายชนิด ช่วงชิงตำแหน่งความรวย มีทรัพย์สิน แซงหน้านายบิล เกตส์ ราว 9,000 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เหตุเพราะราคาหุ้นบริษัทสื่อสารช่วงไตรมาสที่ 2 ของ ปีนี้ พุ่งขึ้นถึง 26.5 เปอร์เซ็นต์ <br /><br />เว็บไซต์การเงิน “เซนติโด โคมุน” รายงานระบุเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นิตยสารฟอร์บส์จัดให้นายสลิม รวยอันดับ 2 ของโลก มีทรัพย์สิน 53,100 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ แต่ด้วยราคาหุ้นบริษัทธุรกิจของนายสลิมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ พุ่งขึ้นเฉลี่ย 26.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ทรัพย์สินนายสลิมเพิ่มขึ้นมากกว่าทรัพย์สินนายบิล เกตส์ อยู่ราว 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ <br /><br />เหตุผลหนึ่งที่ทรัพย์สินของนายสลิมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนายสลิมยังทำหน้าที่บริหารธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะบริษัทสื่อสาร “อเมริกัน โมวิล” ซึ่งครองตลาดการใช้โทรศัพท์ในภูมิภาคละตินอเมริกาถึง 33 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือจากการทำธุรกิจกลุ่มบริษัทการเงิน “อินเบอร์ซา” ธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรม “กรูโป คาร์โซ” ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจร้านขายกาแฟและร้านอาหาร ขณะที่นายบิล เกตส์ เริ่มวางมือจาก การบริหารบริษัทไมโครซอฟท์มาตั้งแต่ปี 2543 โดยหันมามุ่งงานด้านมูลนิธิร่วมกับภรรยาคือนาง “เมลินดา” <br /><br />นายสลิมเป็นลูกชายผู้อพยพชาวเลบานอน ครอบครัวประกอบธุรกิจมาตลอด ช่วยพ่อดำเนินกิจการร้านค้ามาตั้งแต่เด็กๆจนเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในเม็กซิโก จากนั้นเริ่มซื้อ เล่นหุ้น แต่ต้องเผชิญสภาพวิกฤติเศรษฐกิจภูมิภาคละตินอเมริกาเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1980 จึงได้ปฏิรูปธุรกิจของตัวเองในนามกลุ่ม “กรูโป คาร์โซ” จนประสบความสำเร็จและทุ่มทุน 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซื้อหุ้นบริษัท “เทเลโฟโนส เดอ เม็กซิโก หรือเทเลเม็กซ์” เมื่อปี 2533 ภายหลังรัฐบาลเปลี่ยนนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ <br /><br />ข่าวแจ้งว่า แม้นายสลิมร่ำรวยมีทรัพย์สินมหาศาล แต่ก็พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมคนชั้นสูง ไม่นิยมทำตัวโอ่อ่าฟุ่มเฟือย ยังสวมนาฬิกาข้อมือพลาสติกอยู่จนถึงช่วงทศวรรษ 1990 <br /><br />อย่างไรก็ดี นายสลิมต่างก็ให้ความสำคัญกับมูลนิธิการกุศลเช่นเดียวกับนายบิล เกตส์ โดยเพิ่งร่วมก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือแก้ปัญหาความยากจนในภูมิภาคละตินอเมริกากับอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐฯ กับนักธุรกิจเหมืองแร่ชาวแคนาดา. <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-33906063160287067372011-01-20T03:14:25.051+07:002011-01-20T03:14:25.051+07:00'บิล เกตส์'ควงโตชิบา ปั้นเตาปฏิกรณ์นิวเคลี...'บิล เกตส์'ควงโตชิบา ปั้นเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ <br /><br /><br /><br />สื่อปลาดิบตีข่าวผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ "บิล เกตส์" จับมือกับ "โตชิบา" ของญี่ปุ่น ลุยพัฒนาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์สำหรับยุคหน้า ที่จะมีขนาดเล็กลงและสามารถทำงานต่อเนื่องมากกว่า 100 ปีโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงซ้ำอีก เชื่อจะมีประโยชน์มหาศาลเพราะจะเป็นแหล่งพลังงานสะอาดและต้นทุนต่ำกว่าเตาปัจจุบันที่ต้องเติมเชื้อเพลิงทุกๆปี <br /><br />เทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยุคหน้าที่ถูกพูดถึงมีชื่อว่า Traveling-Wave Reactor (TWR) จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือการใช้กากยูเรเนียมซึ่งเหลือใช้จากโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นเก่ามาเป็นเชื้อเพลิง ทำให้พลังงานนิวเคลียร์ที่ได้มีต้นทุนการผลิตที่ถูกลง ปลอดภัยมากขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเทคโนโลยีปัจจุบัน แต่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เทียบเท่าเตาปฏิกรณ์ดั้งเดิม คือตั้งแต่ระดับ 100,000-1,000,000 กิโลวัตต์ <br /><br />หนังสือพิมพ์ธุรกิจนิกเกอิ (Nikkei) รายงานเรื่องนี้โดยไม่เปิดเผยชื่อแหล่งข่าว ระบุว่าเกตส์ตั้งใจใช้ความสามารถของเขาในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี TWR โดยพร้อมจะเทเงินลงทุนมูลค่ามากกว่าหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯให้แก่โครงการนี้ <br /><br />ที่ผ่านมา เทคโนโลยี TWR ถูกพัฒนาโดยบริษัทเทอร์ราพาวเวอร์ (TerraPower) บริษัทเกิดใหม่ในรัฐวอชิงตันซึ่ง บิล เกตส์ เป็นเจ้าของเงินลงทุน และดำเนินงานภายใต้ความดูแลของอดีตผู้บริหารไมโครซอฟท์นามว่านาธาน ไมห์รโวล์ด (Nathan Myhrvold) แต่รายงานระบุว่าเทอร์ราพาวเวอร์ขาดความรู้ความชำนาญในการผลิตอุปกรณ์พลังงานนิวเคลียร์ จึงได้ตัดสินใจร่วมมือกับโตชิบา ซึ่งสามารถออกแบบเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กพิเศษที่ทำงานต่อเนื่องได้ 30 ปีสำเร็จแล้ว <br /><br />โตชิบาเป็นบริษัทที่มีโรงงานนิวเคลียร์ของตัวเองในเมืองเวสติงเฮาส์(Westinghouse) โดยเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ชิ้นโบแดงของโตชิบามีชื่อว่า Super-Safe, Small and Simple (4S) แต่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงระดับ 10,000 กิโลวัตต์ เท่านั้น <br /><br />รายงานของวอลล์สตรีทเจอร์นอลอ้างคำพูดของเคอิซูกิ โอโมริ ประชาสัมพันธ์โตชิบา ว่าโตชิบาและเทอร์ราพาวเวอร์มีการเจรจาเพื่อร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์จริง แต่การเจรจายังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนในขณะนี้ โดยเฉพาะมูลค่าการลงทุน ขณะที่ ลอร์รา เฮอร์แมนน์ (Laura Hermann) ประชาสัมพันธ์เทอร์ราพาวเวอร์ ระบุเพียงว่าบริษัทเปิดกว้างเจรจากับกลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ แต่ปฏิเสธไม่ให้ความเห็นว่าได้เจรจากับโตชิบาจริงหรือไม่ <br /><br />ด้านรายงานของรอยเตอร์สชี้ว่า โตชิบาแสดงความมั่นใจว่า 80% ของเทคโนโลยีที่ใช้ใน 4S นั้นสามารถประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยี TWR ได้ <br /><br />บิล เกตส์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เตาปฏิกรณ์เทคโนโลยี TWR นี้สามารถทำงานในชั้นใต้ดินลึกโดยที่ไม่ต้องมีพนักงานดูแล แต่ยังต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาอีกนาน และยังไม่ผ่านการตรวจสอบใดๆ จากคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ U.S. Nuclear Regulatory Commission จุดนี้นิกเกอิเชื่อว่า พัฒนาการของ TWR อาจต้องกินระยะเวลานานถึง 10 ปี ซึ่งหากการพัฒนาเป็นไปด้วยดี โตชิบาก็จะเริ่มต้นผลิตเตาปฏิกรณ์ในจำนวนมาก <br /><br />เทอร์ราพาวเวอร์ไม่ใช่รายเดียวที่มุ่งมั่นพัฒนาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยุคหน้า ยังมีบริษัทอย่าง General Atomics ที่พัฒนาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กที่ใช้กากยูเรเนียมเป็นเชื้อเพลิงเช่นกัน <br /><br />พลังงานนิวเคลียร์นั้นเป็นเป้าหมายใหม่ของ"บิล เกตส์"ซึ่งมีดีกรีเป็นเจ้าพ่อวงการซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มาก่อน หลายสำนักพิมพ์วิเคราะห์เป้าหมายนี้เกิดขึ้นเพราะเกตส์มีความสนใจในการพัฒนาระบบพลังงานใหม่เพื่อประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งที่ผ่านมา เกตส์ประกาศวิสัยทัศน์ต่อสาธารณชนบ่อยครั้งว่า การค้นหาเทคโนโลยีด้านพลังงานใหม่นั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการลดปัญหาโลกร้อนที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ <br /><br />เกตส์เคยประกาศว่า วิธีการที่จะแก้ไขวิกฤติโลกร้อนได้ก็คือการมีแหล่งพลังงานใหม่ที่สะอาดและราคาถูก เพื่อให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอน และราคาค่าไฟฟ้าลงได้ จุดนี้เกตส์มองว่า พลังงานนิวเคลียร์คือเป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกนอกเหนือจากพลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะสามารถเป็นแหล่งพลังงานที่มีราคาต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าต่ำเพียงพอสำหรับประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา และจะสามารถแก้วิกฤติโลกร้อนได้อย่างเป็นรูปธรรม <br /><br />ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศนโยบายรับประกันเงินกู้ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา <br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-61863995965387671632011-01-20T03:10:25.102+07:002011-01-20T03:10:25.102+07:00"เกตส์"เลิกใช้เฟซบุ๊กเหตุเพราะดังเกิน!!!..."เกตส์"เลิกใช้เฟซบุ๊กเหตุเพราะดังเกิน!!! <br /><br /><br />[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Telegraph จากเมืองผู้ดีระบุว่า บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยอมรับว่า เขาจำเป็นต้องเลิกใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) เนื่องจากความดังของตัวเขาที่มากเกินไปจนมีผู้คนอยากเป็นเพื่อนด้วยนับหมื่นราย <br /><br />เกตส์ประหลาดใจเมื่อพบว่า ภายในระยะเวลาอันสั้น เฟซบุ๊กของเขาก็มีข้อความเข้ามาท่วมท้นจนไม่อาจจะตอบรับได้ทัน "มันเป็นเรื่องลำบากมากเกินไป ผมก็เลยขอเลิกใช้ดีกว่า" เกตส์บอกกับผู้ฟังการบรรยายของเขาในอินเดีย นอกจากนรี้เขายังกลาวอีกด้วยว่า "มีผู้คนในเฟซบุ๊กต้องการเป็นเพื่อนกับผม 10,000 ราย" แน่นอนว่า เขาคงจะจำได้ไม่กี่คน หรือจำใครไม่ได้เลย เพราะมันดูซับซ้อน และชวนสับสนเหลือเกิน เกตส์ยังสารภาพอีกด้วยว่า เขาไม่ใช่คนที่ชอบเขียนข้อความโต้ตอบในลักษณะนี้ <br /><br /><br />สำหรับแฟนเพจในเฟซบุ๊กของบิลเกตส์มีผู้ติดตาม (followers) เกือบ 17,000 คนในขณะที่หน้าเว็บเกี่ยวกับการกุศลของเขามีผู้ใช้ที่ให้การสนับสนุนถึง 34,000 ราย แต่ทั้งสองหน้ารวมกันยังเทียบไม่ได้กับแฟนเพจของไมเคิลแจ็คสันที่มีผู้สนับสนุนมากกว่า 10 ล้านราย อย่างไรก็ดี เกตส์ได้ให้คอมเมนต์เรื่องดังกล่าวในงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ในกรุงนิวเดลฮี ประเทศอินเดีย <br /><br />จากข้อมูลในเฟซบุ๊กของเกตส์พบว่า รายการทีวีที่เขาชื่นชอบคือ 24 และเรื่องอื่นๆ ที่เขาสนใจก็จะมีเทนนิส การอ่านหนังสือ และภาพยนต์ต่างๆ นอกจากนี้ บิลเกตส์ไม่ใช่คนดังคนเดียวที่ต้องเลิกใช้เฟซบุ๊กไป มาธาร์ สจ๊วต เจ้าของรายการขวัญใจแม่บ้านอเมริกัน ก็ยอมรับว่า เธอเองก็เพิ่งเลิกใช้เฟซบุ๊กไป เนื่องจากมันใช้เวลาของเธอมากเกินไป ส่วนตัวเธอแล้วชอบใช้ Twitter มากกว่า <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-4873010349818397112011-01-20T03:07:00.419+07:002011-01-20T03:07:00.419+07:00ต่อ...
นับตั้งแต่วันก่อตั้งมูลนิธิ Bill & Mel...ต่อ...<br /><br />นับตั้งแต่วันก่อตั้งมูลนิธิ Bill & Melinda Gates ได้ให้เงินสนับสนุนแก่โครงการต่างๆ แล้วราว 10,500 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนั้นราว 30% บริจาคให้แก่โครงการในสหรัฐ เพื่อประโยชน์ของชาวอเมริกัน ส่วนอีก 70% บริจาคให้โครงการในประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ โดยเฉพาะแก่โครงการเพื่อขจัดโรคร้าย เช่น เอดส์ มาลาเรียและวัณโรค และเพื่อปลูกฝีและฉีดยาให้เด็กเกิดใหม่ในประเทศด้อยพัฒนา <br /><br />บิล เกตส์ รักบ้านเกิดอย่างสุดซึ้งจึงได้ย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทจากรัฐนิวเม็กซิโกกลับไปตั้งในย่านบ้านเกิดที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Redmond ในรัฐวอชิงตัน หลังจากนั้น ก็ได้ช่วยพัฒนาเมืองนั้นจนเป็นเมืองชั้นนำ <br /><br />ด้วยมันสมองระดับอัจฉริยะ พลังผลักดันปานกระทิงเปลี่ยว ความตั้งใจอันแน่วแน่ และทรัพย์สินจำนวนมหาศาล บิล เกตส์ จะขจัดโรคร้ายและอวิชชาให้หมดไปจากโลกสำเร็จหรือไม่ ? <br /><br />ถ้าจะให้ฟันธงคงต้องตอบว่า "ไม่มีทาง" การฟันธงเช่นนี้มิได้หมายความว่าผมดูแคลนบิล เกตส์ หรือ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขากระทำ ตรงกันข้ามผมชื่นชมการกระทำของเขามากและเคยเขียนไว้ในคอลัมน์นี้ ว่า นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราแล้ว บิล เกตส์ เป็นผู้ที่สมควรจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมากที่สุด และผมแน่ใจว่าในไม่ช้าเขาจะได้รับ แต่การได้ไปเห็นปัญหามาเกือบทั่วโลก ทำให้ผมแน่ใจว่าไม่มีใครคนใดคนหนึ่งจะแก้ปัญหาได้ จนกระทั่งโรคร้าย และอวิชชาหมดไปจากโลก <br /><br />อย่างไรก็ตาม โลกของเราใบนี้จะดีขึ้นกว่าปัจจุบันมาก หากชนชั้นเศรษฐีจะมีจิตสำนึกเช่นบิล เกตส์ นั่นคือ ตระหนักในความโชคดีของตนเองและรู้จักพอเพียงแล้วอุทิศกำลังกาย กำลังสมองและกำลังทรัพย์ส่วนหนึ่ง เพื่อช่วยกันขจัดปัญหาใหญ่ๆ ในชุมชนซึ่งตนอาศัยอยู่ ชุมชนนั้นอาจเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หรือชุมชนขนาดใหญ่ในระดับประเทศและระดับโลกก็ได้ <br /><br /><br /><br /><br />ที่มา : บ้านเขาเมืองเรา : ดร.ไสว บุญมา กรุงเทพธุรกิจ <br />วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2549 <br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-43878622971236335912011-01-20T03:06:36.727+07:002011-01-20T03:06:36.727+07:00ความพอเพียงของบิล เกตส์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หล...ความพอเพียงของบิล เกตส์ <br /><br /><br /><br />เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลายวงการต้องแปลกใจที่จู่ๆ บิล เกตส์ ก็ประกาศออกมาว่า ภายในเวลา 2 ปีเขาจะสละตำแหน่งใหญ่ๆ ในบริษัทไมโครซอฟท์ทั้งหมดยกเว้นตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทเท่านั้น ในระบบการบริหารของไมโครซอฟท์ ประธานกรรมการบริษัท ไม่มีงานประจำมากจนถึงกับต้องไปทำงานทุกวันเ หมือนงานประจำอื่นๆ อาจไปทำงานสัปดาห์ละครั้ง การรั้งตำแหน่งนั้นเพียงอย่างเดียวจึงเป็นเสมือนบิล เกตส์ เกษียณจากงานทั้งที่ตอนนี้เขาอายุเพียง 50 ปี และยังมีสุขภาพสมบูรณ์ <br /><br />คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า บิล เกตส์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์เพื่อทำธุรกิจเขียนโปรแกรมสำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ในขณะนี้ ราว 90% ของคอมพิวเตอร์ชนิดนั้นทั่วโลกใช้ "คำสั่งแม่บท" (Operating System) ของไมโครซอฟท์ นอกจากนั้น ไมโครซอฟท์ยังมีโปรแกรมอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกด้วย ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทำให้บิล เกตส์ ร่ำรวยมหาศาล ปีนี้เป็นปีที่ 12 ติดต่อกันที่เขาครองตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลก เพราะมีทรัพย์สินกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2 ล้านล้านบาท <br /><br />แน่ละ ทรัพย์สินกองใหญ่ขนาดนั้นย่อมทำให้บิล เกตส์ หมดความจำเป็นที่จะต้องตรากตรำไปทำงานเพื่อการยังชีพ แต่คนที่มีพลังผลักดันภายในสูงยิ่งเช่น บิล เกตส์ ย่อมอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ฉะนั้นเขาจะไม่หยุดทำงานหลังจากสละตำแหน่งใหญ่ๆ ในไมโครซอฟท์แล้ว หากจะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลที่เขาและภรรยาตั้งขึ้นชื่อว่า Bill & Melinda Gates Foundation <br /><br />มูลนิธินี้มีคำขวัญว่า Bringing innovations in health and learning to the global community ซึ่งมีความหมายว่า "เพื่อนำนวัตกรรมด้านสุขภาพและด้านการเรียนรู้ไปสู่ชุมชนโลก" คำขวัญนี้สะท้อนความตั้งใจของบิล เกตส์ และภรรยาที่ต้องการจะใช้สมบัติกองใหญ่และความรู้ความสามารถของตนช่วยขจัดโรคร้ายและอวิชชาให้หมดไปจากโลก <br /><br />ณ วันนี้ Bill & Melinda Gates Foundation เป็นมูลนิธิที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลก เพราะได้รับบริจาค จากสองสามีภรรยาแล้วกว่า 29,000 ล้านดอลลาร์ และจะได้รับเพิ่มอีก เนื่องจาก ทั้งสองได้ประกาศไว้นานแล้วว่า จะกันทรัพย์สินเพียงส่วนน้อยเท่านั้นไว้ให้แก่ลูกๆ ส่วนที่เหลือจะยกให้แก่มูลนิธิ คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าในสหรัฐ ผู้บริจาคทรัพย์ให้แก่มูลนิธิเพื่อการกุศลได้รับการลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลโดยเฉพาะภาษีมรดก ฉะนั้นมูลนิธิจำนวนมากจึงถูกตั้งขึ้นหรือได้รับบริจาคทรัพย์จากมหาเศรษฐีเพราะปัจจัยด้านภาษี <br /><br />แต่การตั้งมูลนิธิของบิล เกตส์ และภรรยาไม่น่าจะมีปัจจัยนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเขาเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีไม่กี่คน ที่รณรงค์อย่างเต็มที่ เพื่อกดดันให้รัฐบาลอเมริกันเก็บภาษีมรดกต่อไป <br /><br />อาจไม่เป็นที่ทราบกันมากนักว่า รัฐบาลอเมริกันเก็บภาษีมรดกมาเป็นเวลานาน แต่หลังจากจอร์จ ดับเบิลยู บุช เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อต้นปี ค.ศ. 2001 เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะยกเลิกภาษีนั้น เพราะเขาเป็นตัวแทนของชนชั้นเศรษฐีที่ขาดจิตสำนึกชนิดตกขอบ ถ้าเขาทำสำเร็จตามความตั้งใจมหาเศรษฐีอเมริกัน จะไม่ต้องจ่ายภาษีมรดกอีก อย่างไรก็ตาม คนอเมริกันจำนวนมากไม่เห็นด้วย ร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกภาษีนั้น จึงแพ้คะแนนเสียงในสภาสูงไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง <br /><br />การเกษียณตัวเองจากไมโครซอฟท์และทิ้งรายได้ประจำเป็นจำนวนมากของบิล เกตส์ อาจเป็นที่แปลกใจของหลายวงการ แต่สำหรับผู้ที่ติดตามความคิดความอ่าน และการดำเนินชีวิตของเขามาเป็นเวลานานคงไม่แปลกใจเลย (ในปัจจุบันมีหนังสือเกี่ยวกับบิล เกตส์ ในตลาดจำนวนมาก รวมทั้งหนังสือที่เขาเขียนเอง เช่น The Road Ahead และ Business @ the Speed of Thought ซึ่งครั้งหนึ่งนายกฯ ทักษิณแนะนำให้คนไทยอ่าน <br /><br />สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาและไม่ค่อยถนัดภาษาฝรั่งอาจไปอ่านหนังสือชื่อ "เสือ สิงห์ กระทิง แรด" ซึ่งมีบิล เกตส์ เล่นบทบาท "กระทิง" และเรื่อง "คิดนอกคอก ทำนอกคัมภีร์" ซึ่งมีบทคัดย่อของเรื่อง Business @ the Speed of Thought) <br /><br />นอกจากจะมีมันสมองระดับอัจฉริยะและมีพลังผลักดันภายในไม่ต่ำกว่าใครในโลกแล้ว บิล เกตส์ มีจิตสำนึกสูงยิ่ง โดยเฉพาะในความโชคดีของตนเอง การตระหนักในความโชคดีนั้นทำให้เขาต้องการตั้งมูลนิธิขึ้น เพื่อตอบแทนคุณแก่สังคม เนื่องจากบริษัทของเขาร่ำรวยด้วยการขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก "สังคม" ของเขา จึงเป็นชุมชนโลกทั้งหมดPrapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3542528330773071254.post-4957401282541638682011-01-20T03:03:33.858+07:002011-01-20T03:03:33.858+07:00บิล เกตส์ครองแชมป์รวยสุด 17 ปีซ้อน
บิล เกตส์ ผู...บิล เกตส์ครองแชมป์รวยสุด 17 ปีซ้อน<br /><br /><br /><br />บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ <br /> <br /> <br /> นิตยสาร Forbes จัดอันดับ 400 เศรษฐีอเมริกันชนที่รวยที่สุดในปี 2010 ปรากฏว่าบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ยังคงครองแชมป์ความรวยที่สุดต่อไป ที่น่าสนใจคือหนุ่มมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊กนั้นร่ำรวยกว่าสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งแอปเปิลไปแล้วเรียบร้อย<br /> <br /> นอกจากเกตส์ที่ครองแชมป์รวยที่สุดในปีที่ 17 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 5.4 หมื่นล้านสหรัฐ ยังมีเจ้าพ่อไอทีอีกหลายคนที่ติดอันดับทำเนียบคนรวย เช่นผู้ก่อตั้งและซีอีโอออราเคิล แลร์รี่ เอลิสัน ที่ครองแชมป์รวยอันดับ 3 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 2.7 หมื่นล้านเหรียญ (ตามหลังอันดับ 2 อย่างวอร์เรน บัฟเฟ็ต) แลร์รี่ เพจและเซอร์เกย์ บริน ผู้ก่อตั้งกูเกิลซึ่งครองตำแหน่งรวยอันดับที่ 11 ด้วยมูลค่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญต่อคน รวมถึงไมเคิล เดลล์ ผู้ก่อตั้งเดลล์ที่รวยเป็นอันดับที่ 15 ด้วยทรัพย์สิน 1.4 หมื่นล้านเหรียญ<br /> <br /> ผู้ที่ได้ตำแหน่ง "รวยเร็วที่สุด"ในปีนี้คือผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ก ซึ่งถูก Forbes จัดให้มีอันดับความร่ำรวยที่ 35 ก้าวกระโดดจากอันดับที่ 158 ในปีที่แล้ว มีมูลค่าทรัพย์สินจากเดิม 4.9 พันล้านเหรียญมาเป็น 6.9 พันล้านเหรียญในปีเดียว เป็นตัวเลขที่ฮือฮาอย่างมากเพราะสูงกว่าทรัพย์สินของผู้ก่อตั้งแอปเปิล เพราะจ็อบส์ครองอันดับ 42 ด้วยทรัยพ์สินมูลค่า 6.1 พันล้านเหรียญในปีนี้<br /><br /><br /><br /><br /><br />.Prapasara.Comhttps://www.blogger.com/profile/10697914215155821190noreply@blogger.com