ตัวอย่างวิจัยวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6
ศูนย์ LifeVantage
ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ LifeVantage : Protandim Nrf1 / Nrf2 / ProBio / TrueScience / TrueRenew ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ โทร ☎️ :: 084-110-5021 📍 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line ค่ะ
20 ธันวาคม 2555
17 ธันวาคม 2555
ดาวน์โหลดฟรี คู่มือการใช้ iPhone 5 ภาษาไทย
ดาวน์โหลดฟรี คู่มือการใช้ iPhone 5 ภาษาไทย
ดาวน์โหลด คู่มือ iPhone 5
รายละเอียด คู่มือการใช้ iPhone 5 (ไอโฟน 5) สำหรับ iOS 6
คู่มือ iPhone 5 นี้คือทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับ iPhone 5 ของคุณ ในรูปแบบของ eBook ที่มีประโยชน์ คุณจะได้รับรู้และค้นพบในสิ่งที่น่าอัศจรรย์และสิ่งที่ iPhone สามารถทำได้ทั้งหมด มันชัดเจนสำหรับคู่มือได้รับประโยชน์สูงสุดจาก iPhone 5 ใหม่ของคุณได้โดยตรงจากแอปเปิ้ล
iPhone 5 VS. iPhone 4S แตกต่างกันอย่างไร
Design and Build Quality -
iPhone 4S
ด้วยดีไซนที่ออกมาคล้ายกับ iPhone 4 (คล้ายมาก จนแทบจะเรียกว่าเหมือนเดิมเลยทีเดียว) แต่ก็ได้แก้ไขเรื่องของสัญญานที่มีปัญหาจากตัว iPhone 4 ทำให้ iPhone 4Sยังคงเป็นมือถือ ที่มีดีไซน์ติดตลาด จนเป็นที่ชื่นชอบของทั้งสาวก iDevice โดยเจ้านี่จะมีขนาด 115.2x58.66x9.3มิลลิเมตร มีบอดี้เป็นกระจกที่เวลาตกพื้นแล้วเหมือนจะแตกง่าย และไม่มีพอร์ต HDMI (ที่เริ่มเป็นพอร์ตมาตรฐานของมือถือ Android ส่วนมากในขณะนี้)
iPhone 5
iPhone 5มาพร้อมกับดีไซน์สดใหม่ ตัวเครื่องบางลงกว่าเดิม โดยมีความบางที่ 7.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 112 กรัม เบากว่า iPhone 4S ประมาณ 20%มี 2 สีให้เลือกคือสีขาว และสีดำ โดยเครื่อง สีขาวที่ด้านหลังจะมีแผ่นอลูมิเนียมสีเงินตัดกับขอบบนล่างที่เป็นสีขาว ส่วนสีดำจะมีสีดำด้าน และดำเงาตัดกันเช่นกัน และที่สำคัญหน้าจอของ iPhone 5 จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 4 นิ้ว มีตัวเครื่องที่ยาวขึ้นทำให้หน้าจอเป็นแบบ Widescreen ทำให้จับได้กระชับมือยิ่งขึ้น ส่วนวัสดุตัวเครื่องยังเป็นอลูมิเนี่ยมกับกระจกเช่นเคย
Screen - หน้าจอ
iPhone 4S
iPhone 4S มาพร้อมกับ Retina Displayที่ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดตัวหนึ่งของอุปกรณ์พกพา มีหน้าจอขนาด 3.5 นิ้วแบบ LED backlit IOS TFT LCDความละเอียดของพิกเซลอยู่ที่ 326ppiทำให้หน้าจอมีสีสัน และความ คมชัดสูงมาก
iPhone 5
Retina Display ก็อยู่บน iPhone 5 เช่นกัน แต่จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเป็น 4 นิ้ว มีความ ละเอียดหน้าจอที่ 1136x640 พิกเซล ทำให้เหมาะกับการดูภาพยนตร์บนมือถือมากขึ้น และยังม ีความอิ่มตัวของสีที่ดีกว่าเดิมถึง 44%รวมถึงหน้าจอสามารถลดแสงสะท้อนให้ดียิ่งขึ้นทำให้เวลา ใช้กลางแจ้งมองเห็นชัดกว่าเดิม
Processor - การประมวลผล
iPhone 4S
iPhone 4S มาพร้อมกับ CPU Dual- Core 800MHz A5ที่อาจจะดูล้าหลังเล็กน้อยสำหรับ ยุคสมาร์ทโฟน Quad- Coreแต่ด้วยการที่ iPhone 4Sใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ที่มีการจัดการด้าน Software และ Hardware ที่ลงตัว ทำให้การใช้งาน iPhone 4S ลื่นไหล ไม่มีสดุด
iPhone 5
iPhone รุ่นล่าสุดนี้ มาพร้อมกับชิปประมวลผลแบบใหม่คือ A6 processor ที่ทาง Apple บอกว่า เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่าจากเดิมที่เร็วอยู่แล้วบน 4Sและที่สำคัญ ยังประหยัดไฟขึ้นอีกด้วย การใช้ งานแอพ หรือเปิดแอพต่างๆ จะเร็วขึ้น 2 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม ทาง Apple ไม่เปิดเผยจำนวน Core บนชิป A6 ตัวใหม่นี้นะคะ
Storage - หน่วยความจำ
iPhone 4S
หน่วยความจำของ iPhone 4Sไม่สามารถเพิ่มได้ โดยจะมีให้เลือก 3 ขนาดคือ 16GB, 32GB, และ 64GB
iPhone 5
หน่วยความจำเท่ากับ iPhone 4S
Battery - แบตเตอรี่ การใช้พลังงาน
iPhone 4S
iPhone 4S ตามสเปคแล้ว สามารถสแตนด์บายได้ 200 ชั่วโมง, สนทนาต่อเนื่องได้ 8 ชม.แบบ 3G และ 14 ชม. สำหรับ 2G, การเล่นอินเตอร์เน็ตผ่าน 3G ได้ต่อเนื่อง 6 ชม. ส่วน Wi- Fiได้ 9 ชม., ดูหนังต่อเนื่อง 10 ชม. ฟังเพลงได้ 40 ชม.
iPhone 5
iPhone 5สามารถสแตนด์บายได้ 225 ชม., คุยต่อเนื่องผ่าน 3G หรือ LTE ได้ต่อเนื่อง 8 ชม., และใช้ Wi- Fi ต่อเนื่องได้ 10 ชม. สรุปแล้ว ถึงแม้ว่า iPhone 5จะสามารถสแตนด์บายได้นานกว่า iPhone 4S เล็กน้อย แต่ด้านอื่นๆ ยังเท่ากันอยู่ ดูแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่
Software and Apps - ซอฟต์แวร์ และแอพพลิเคชั่น
iPhone 4S
ตอนนี้ใน iOS App Store มีแอพต่างๆ ให้เลือกใช้เกิน 700,000 แอพพลิเคชั่น ดังนั้นบน iPhone 4S จึงมีแอพมากมายหลายอย่าง หลายสไตล์ให้เลือกใช้ และสำหรับบน iPhone 4S ยังมาพร้อมกับ Siri หรือโปรแกรมเลขาส่วนตัว (สำหรับคนภาษาอังกฤษแข็งแรง) ใช้สำหรับค้นหาข้อมูล, ตั้งการแจ้งเตือน หรือนัดหมายต่างๆ, อ่านอีเมล, หรืออื่นๆ ได้โดยใช้เสียงของคุณในการสังการ
iPhone 5
iPhone 5 จะมาพร้อมกับ iOS 6 เวอร์ชั่นล่าสุด (แต่ iPhone 4S คาดว่าจะอัพเดตได้เร็วๆ นี้เช่นกัน) โดยใน iOS 6นี้ Apple ได้เพิ่มความสามารถของ Siri, ใช้แผนที่ใหม่ของ Apple เอง, การทำงาน ร่วมกันของมือถือและ Facebook ที่ดีขึ้น, ปรับปรุง FaceTime, การอ่านหน้าเว็บแบบ Offline และแท็บของ Safari ที่ซิงค์กับ iCloud, และฟีเจอร์ใหม่ของ Passbook ที่จะเก็บข้อมูลบัตรเครดิต หรืออื่นๆ ของคุณเอาไว้
Camera and Video Recording - การถ่ายภาพ และบันทึกวีดีโอ
iPhone 4S
iPhone 4Sมาพร้อมกับกล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล มีรูรับแสง (f stop number) อยู่ที่ f/2.4รวมถึง ซอฟต์แวร์ HDR และ Macro ทำให้การถ่ายภาพด้วย iPhone 4S ได้รับได้รับคำชื่นชมอย่างมาก (เฉพาะถ่ายภาพกลางวัน) และที่สำคัญ เรื่องของชัตเตอร์สปีดที่เร็วมากที่ช่วยให้การถ่ายภาพ มีความเร็วการจับภาพที่ดี รวมถึงมีแอพถ่ายภาพมากมายให้เลือกใช้ใน App Store แต่ก็ยังไม่ สามารถปรับตั้งค่าที่โปรกว่านั้นได้ เช่น White Balance หรือ Exposure ส่วนการถ่ายวีดีโอนั้น สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 1080p พร้อมด้วยระบบกันสั่น และมี iMovie ให้ทำหนังสั้นเล่น กับเพื่อนได้ด้วย
iPhone 5
Apple ได้เพิ่มความสามารถด้านการถ่ายภาพบน iPhone 5 แต่ก็ถือว่าไม่มากขึ้นจากเดิมเท่าไหร่
นัก โดยมีโหมด dynamic low- light mode ที่สามารถถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้น มี 5- element lens และ f/2.4 aperture และเพิ่มโหมด Panorama หรือโหมดถ่ายภาพมุมกว้าง เป็นครั้งแรกสำหรับ มือถือ iPhone โดยสามารถถ่ายภาพได้ถึง 360 องศาด้วยความละเอียดภาพ 28 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ CPU A6 ยังช่วยในการโฟกัสภาพ และจับภาพให้เร็วขึ้น รวมถึง smart filter ที่ช่วยให้สีสันของภาพสมจริง และลด noise ได้ดียิ่งขึ้น และยังมี Shared Photo Streams ที่ให้คุณแชร์ภาพที่คุณถ่ายให้เพื่อนได้ทันทีผ่านทาง iCloud
16 ธันวาคม 2555
ตัวอย่างวิจัยวิทยาศาสตร์ ระดับอนุบาล
ตัวอย่างวิจัยวิทยาศาสตร์ ระดับอนุบาล
การเข้าดูงานวิจัยฉบับเต็มมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
http://www.prapasara.co.uk/MahasarakhamResearchFulltext.html
วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย
การเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กอายุ 3– 6 ขวบ มิได้หมายถึงสาระทางชีววิทยา เคมี กลศาสตร์ แต่เนื้อหาวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยคือ สาระเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กที่เด็กควรรู้ การเรียนการสอนมุ่งเพื่อให้เด็กเกิดความเข้าใจมากกว่าที่จะจำเป็นองค์ความรู้ การเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแตกต่างจากเด็กวัยอื่นที่เด็กปฐมวัยมีการเจริญของสมองที่รวดเร็วและต้องการการกระตุ้นเพื่อการงอกงามของใยสมองในช่วงปฐมวัย แต่ขณะเดียวกันพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก อายุ 2 –6 ขวบ ยังเป็นช่วงก่อนปฏิบัติการ (pre –operative stage) เด็กเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง (self- centered) และมองสิ่งรอบตัวโดยเน้นที่ตัวของเด็กเอง เด็กจะรับรู้และคิดถ่ายโยงเป็นทิศทางเดียวไม่ซับซ้อน เช่น รู้สี รู้รูปร่าง โดยรู้ทีละอย่าง จะเรียนรู้สองอย่างพร้อมกันไม่ได้ หรือเอามาผนวกกันไม่ได้ ซึ่งการเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการเรียนเพื่อฝึกเด็กให้บูรณาการข้อความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกันโดยให้เด็กรู้จักสังเกต ค้นหา ให้เหตุผล หรือทดลองด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้การเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยจึงต้องเริ่มจากทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การสังเกต การค้นคว้าหาคำตอบ การให้เหตุผล ตามด้วยการเรียนทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กโดยใช้ประสบการณ์จริงและการทดลองปฏิบัติ เช่น การเรียนรู้การเจริญเติบโตของพืชด้วยการทดลองปลูกพืช สังเกตความสูงของพืช และการงอกงามของพืช เป็นต้น
การสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเป็นการสอนข้อความรู้ ซึ่งต่างจากการสอนให้รู้ข้อความรู้ตรงที่การสอนข้อความรู้ต้องการความสนใจ การสังเกต การจำ และการเรียกความจำจากความเข้าใจถ่ายโยงได้ ไม่ใช่การท่องจำซึ่งตรงกับการเรียนวิทยาศาสตร์ที่เป็นการเรียนรู้จากการให้คิดและมีเหตุผล เกิดการเข้าใจมโนทัศน์ เชื่อสานข้อมูลประยุกต์ และสรุปเป็นข้อความรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งในการเรียนวิทยาศาสตร์เด็กต้องพัฒนาทักษะการคิดเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปให้ได้ ตัวอย่าง เช่น เด็กเรียนเรื่องเต่ากับหนู โดยการศึกษาเปรียบเทียบ ค้นหาข้อแตกต่างและข้อเหมือน และนำไปสู่ข้อสรุปว่า เต่ามีลักษณะอย่างไร หนูมีลักษณะอย่างไร (Hendrick, 1998 : 42) ดังนั้นการเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยจึงมิใช่การสอนให้รู้ข้อความรู้ เพราะเด็กไม่สามารถรับความรู้นามธรรมได้ เด็กปฐมวัยต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากประสบการณ์
การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กและธรรมชาติเป็นสาระหลักสำหรับเด็กปฐมวัยในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ดร.ดินา สตาเคิล (Dina Stachel) ของมหาวิทยาลัยเทอาวีพ ประเทศอิสราเอล ได้พัฒนาโปรแกรมมาทาลขึ้น เพื่อใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย โดยเน้นให้เด็กมีความสนุกกับการเรียน รู้จักสร้างสรรค์และคิดสร้างสรรค์ สาระวิทยาศาสตร์ที่เด็กเรียนจำแนกเป็น 4 หน่วย ดังนี้ (สตาเคิล, 2542 : 12)
หน่วยที่ 1 การสังเกตโลกรอบตัว
หน่วยที่ 2 การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและการเรียนรู้
หน่วยที่ 3 รู้ทรงและสิ่งที่เกี่ยวข้อง
หน่วยที่ 4 การจัดหมู่และการจำแนกประเภท
ในการเรียนหน่วยวิทยาศาสตร์ทั้ง 4 หน่วยดังกล่าว เด็กต้องใช้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ทักษะการสังเกต การจำแนกประเภท การสื่อความหมายและทักษะการลงความเห็นการเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเปรียบเทียบมิติเดียวเหมือนอย่างเช่นคณิตศาสตร์ แต่การเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการเรียนเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปคำตอบ ซึ่งเด็กสามารถเรียนรู้วิทยาศาสตร์รอบตัวได้ หากครูจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก
ทักษะพื้นฐานและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการเรียนการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ซึ่งเรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้โดยครูกับเด็กช่วยกันคิดและปฏิบัติเป็นกระบวนการเริ่มจากขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 5 ดังนี้
ขั้นที่ 1 กำหนดขอบเขตของปัญหา ครูกับเด็กร่วมกันคิดตั้งประเด็นปัญหาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ร่วมกัน เช่น ต้นไม้โตได้อย่างไร
ขั้นที่ 2 ตั้งสมมุติฐาน เป็นขั้นของการวางแผนร่วมกัน ในการที่จะทดลองหาคำตอบจากการคาดเดาล่วงหน้าว่า ถ้า.......จะเกิด......เป็นต้น
ขั้นที่ 3 ทดลองและเก็บข้อมูล เป็นขั้นตอนที่ครูกับเด็กร่วมกันดำเนินการตามแผนการทดลองตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ในข้อ 2
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูล ครูและเด็กนำผลการทดลองมาสนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน เช่น ทำไมต้นไม้ปลูกพร้อมกันจึงโตไม่เท่ากัน
ขั้นที่ 5 สรุปผลคำตอบสมมุติฐาน ว่าผลที่เกิดคืออะไร เพราะอะไร ทำไม ถ้าเด็กต้องการศึกษาต่อจะกลับมาเรียนขั้นที่ 1 ใหม่ แล้วต่อเนื่องไปถึงขั้นที่ 5 เป็นวงจรของการขยายการเรียนรู้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 5 ขั้น เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องเป็นวัฏจักร ทักษะพื้นฐานที่ต้องนำมาใช้ในกระบวนการ คือ การสังเกต การจำแนกและเปรียบเทียบ การวัด การสื่อสาร การทดลอง การสรุปและการนำไปใช้ (Brewer, 1995 : 288 - 290)
การสังเกต ครูต้องสอนให้เด็กรู้จักสังเกตใช้เทคนิคการสังเกตเป็น เด็กต้องได้รับการสอนให้รู้จักสังเกตปรากฏการณ์หรือการกระทำอย่างระมัดระวังและถี่ถ้วน จากการสังเกตนอกจากการใช้ ตาดู เด็กอาจต้องใช้หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นชิมรส กายสัมผัสหรือรับความรู้สึก หรือใช้ทุกอย่างร่วมกัน
การจำแนกเปรียบเทียบ การจำแนกเป็นทักษะพื้นฐานที่ใช้ในการจัดระเบียบข้อมูล ซึ่งในการจำแนกนี้เด็กต้องสามารถเปรียบเทียบและบอกข้อแตกต่างของคุณสมบัติ ถ้าเด็กเล็กมาก เด็กอาจจำแนกสีหรือจำแนกรูปร่างได้ การจำแนกหรือเปรียบเทียบสำหรับเด็กปฐมวัย ต้องใช้คุณสมบัติหยาบ ๆ เห็นรูปธรรมเด็กจึงจะทำได้
การวัด การวัดเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลและตัดสินเพื่อบอกว่าขนาด ปริมาณของสิ่งที่เห็นคืออะไร เด็กปฐมวัยจึงใช้การวัดเป็นการเปรียบเทียบเชิงปริมาณโดยสามารถใช้เครื่องมือวัดอย่างหยาบได้ สามารถบอกมาก-น้อยกว่ากันได้
การสื่อสาร ทักษะการสื่อสารจำเป็นมากในกระบวนการวิทยาศาสตร์ เพราะการสื่อสารเป็นทางบอกว่าเด็กได้ สังเกต จำแนก เปรียบเทียบ หรือวัด เป็นหรือไม่ เข้าใจข้อมูลหรือสิ่งที่ศึกษาในระดับใด ด้วยการกระตุ้นให้เด็กแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อภิปรายข้อค้นพบ บอก และบันทึกสิ่งที่พบ
การทดลอง เด็กปฐมวัยเป็นนักทดลองมาโดยกำเนิด เช่น การรื้อค้น การกระแทก การทุบ การโยนสิ่งของหรือการเล่น จากการเล่นเป็นการเรียนรู้ ซึ่งมักเป็นการทดลองแบบลองผิดลองถูก แต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะถูกจัดระเบียบมากขึ้น มีการควบคุมให้เด็กทำอย่างมีระเบียบวิธี มีการสังเกตอย่างมีความหมาย เช่น การทดลองการกระจายของหยดสีในน้ำที่มีความเข้มข้นไม่เท่ากัน เด็กจะสังเกตเห็นสีสด สีจาง ต่างกัน
การสรุปและการนำไปใช้ เด็กปฐมวัยมีความสามารถสรุปได้เฉพาะข้อมูลเชิงประจักษ์ เด็กสามารถบอกว่าอะไรเกิดขึ้น สาเหตุใด มีผลอย่างไร แต่เป็นไปตามสายตาที่เห็นเป็นรูปธรรมเท่านั้น ซึ่งการทดลองวิทยาศาสตร์ ทำให้เด็กเห็นจริงกับตา สัมผัสกับมือ เด็กจะบอกได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น การได้ฝึกทักษะอย่างเป็นกระบวนการจะทำให้เด็กสามารถบอกได้ว่าจะนำไปใช้ทำอะไร หรือนำไปใช้แก้ปัญหาอย่างไรได้ด้วย
เป้าหมายของการเรียนวิทยาศาสตร์
เด็กปฐมวัยเรียนวิทยาศาสตร์ในแง่ของทักษะพื้นฐาน กระบวนการและสาระวิทยาศาสตร์เบื้องต้น เป้าหมายสำคัญของการเรียน คือ (Brewer, 1995 : 290)
1. ให้เด็กได้ค้นคว้าและสืบค้นสิ่งต่าง ๆ และปรากฏการณ์ที่มี
2. ให้เด็กได้ใช้กระบวนการทักษะทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง
3. กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น ความสนใจ และเจตคติของเด็กด้วยการค้นให้พบ
4. ช่วยให้เด็กค้นหาข้อมูลความรู้บางอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันและการสืบค้นของตัวเด็ก
การเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นการเรียนเพื่อสร้างเสริมนิสัยการเรียนรู้อย่างมีกระบวนการ ส่งเสริมให้เด็กคิดอย่างเป็นระบบ และศึกษาสิ่งต่าง ๆ ด้วยการนำทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้เป็นสิ่งกระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้ และส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านของเด็ก (ประสาท เนืองเฉลิม, 2545 : 20 - 26) ในขณะเดียวกัน กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ทำให้เด็กได้พัฒนาความรู้วิทยาศาสตร์และได้พัฒนาองค์ความรู้ใหม่จากสิ่งที่เด็กได้สัมผัสด้วย
สาระวิทยาศาสตร์ที่เด็กต้องเรียน
ดังกล่าวแล้วว่าเด็กปฐมวัยเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานวิทยาศาสตร์ การเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และสาระวิทยาศาสตร์ ซึ่งสาระวิทยาศาสตร์ที่เด็กปฐมวัยเรียนประกอบด้วยสาระต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดังนี้
1. สาระเกี่ยวกับพืช ได้แก่ พืช เรื่องที่นำมาเรียนได้แก่ ต้นไม้ ดอกไม้ ผลไม้ การปลูกพืช การใช้ประโยชน์จากพืช
2. สาระเกี่ยวกับสัตว์ ได้แก่ ประเภทของสัตว์ สวนสัตว์ การเลี้ยงสัตว์
3. สาระเกี่ยวกับฟิสิกส์ เช่น การจม การลอย ความร้อน ความเย็น
4. สาระเกี่ยวกับเคมี ได้แก่ รสผลไม้ การละลายของน้ำแข็ง
5. สาระเกี่ยวกับธรณีวิทยา ได้แก่ ดิน ทราย หิน ภูเขา
6. สาระเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ได้แก่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาว ฤดูกาล
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ได้กำหนดสาระทางวิทยาศาสตร์ไว้ในหลักสูตร เรียกว่า ธรรมชาติรอบตัว โดยกำหนดให้เด็กเรียน สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ เช่น ฤดูกาล กลางวัน กลางคืน ฯลฯ
หลักการจัดกิจกรรม
ประสบการณ์วิทยาศาสตร์เป็นการสร้างเด็กให้เรียนรู้กระบวนการวิทยาศาสตร์และเนื้อหาที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลักการจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์ให้กับเด็กที่สำคัญมีดังนี้ (Seefeldt, 1980 : 236)
1. เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก ประสบการณ์ที่เลือกมาจัดให้แก่เด็ก ควรเป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก โดยใกล้ทั้งเวลา เหมาะสมกับพัฒนาการ ความสนใจและประสบการณ์ที่ผ่านมาของเด็ก
2. เอื้ออำนวยให้แก่เด็กได้กระทำตามธรรมชาติของเด็ก เด็กมีธรรมชาติที่ชอบสำรวจ ตรวจค้น กระฉับกระเฉง หยิบโน่นจับนี่ จึงควรจัดประสบการณ์ที่ใช้ธรรมชาติในการแสวงหาความรู้
3. เด็กต้องการและสนใจ ประสบการณ์ที่จัดให้เด็กต้องสอดคล้องกับความต้องการของเด็กและอยู่ในความสนใจของเด็ก ดังนั้นหากบังเอิญมีเหตุการณ์ที่เด็กสนใจเกิดขึ้นในชั้นเรียน ครูควรถือโอกาสนำเหตุการณ์นั้นมาเป็นประโยชน์ในการจัดประสบการณ์ที่สัมพันธ์กันในทันที
4. ไม่ซับซ้อน ประสบการณ์ที่จัดให้นั้นไม่ควรเป็นประสบการณ์ที่มีเนื้อหาซับซ้อน แต่ควรเป็นประสบการณ์ที่มีเนื้อหาเป็นส่วนเล็ก ๆ และจัดให้เด็กทีละส่วน ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กส่วนใหญ่จะเป็นพื้นฐานความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา ทั้งนี้พื้นฐานต้องเริ่มจากระดับง่ายไม่ซับซ้อนไปสู่ระดับของการสำรวจตรวจค้น และระดับของการทดลอง ซึ่งเป็นระดับที่สร้างความเข้าใจมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์
5. สมดุล ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่จัดให้เด็กควรมีความสมดุล ทั้งนี้เพราะเด็ก ต้องการประสบการณ์ในทุกสาขาของวิทยาศาสตร์ เพื่อจะได้พัฒนาในทุก ๆ ด้าน ซึ่งแม้ว่าเด็กจะสนใจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืชและสัตว์ ครูก็ควรจัดประสบการณ์หรือแนะนำให้เด็กสนใจวิทยาศาสตร์ด้านอื่น ๆ
กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ต้องกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจวิทยาศาสตร์ พัฒนาเป็นกระบวนการเรียนรู้ เกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดความเข้าใจในวิทยาศาสตร์มากขึ้น หลักการจัดกิจกรรมมีอย่างน้อย 5 ประการ ดังนี้ (ประสาท เนืองเฉลิม, 2546 : 28)
1. มีการกำหนดจุดประสงค์อย่างชัดเจน
2. ครูเป็นผู้กำกับให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
3. กิจกรรมที่จัดขึ้นสนองตอบความสนใจของเด็ก
4. สอดคล้องกับการเรียนการสอนในชั้นเรียน
5. กิจกรรมที่จัดต้องส่งเสริมให้เด็กมีภาวะสร้างสรรค์และพัฒนาระบบการคิดของเด็ก
กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ต้องเป็นกิจกรรมที่สร้างเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาปัญญาด้วยความสนุก เด็กต้องได้ปฏิบัติจริงและเป็นไปได้ เด็กควรเรียนรู้จากปรากฏการณ์ธรรมชาติจริงที่มีความเป็นไปได้ เด็กเรียนรู้ได้ดีจากการสัมผัสและการกระทำ การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นการเรียนรู้โดยการลงมือทำงาน เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผู้เรียนได้ทบทวนเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง เกิดจากมุมมองจากการได้สัมผัส ได้รับรู้ประสบการณ์ของตน ประสบการณ์นับเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า กระตุ้นให้เกิดการคิดและการเรียนรู้ (Burnard, 1996 : 15 - 19) การให้เด็กทำกิจกรรมเป็นการเสริมสัมผัสและการเรียนรู้ของเด็ก การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่สำคัญต้องเน้นการคิด การแก้ปัญหา การแสดงออกถึงพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ของเด็ก ซึ่งสังเกตได้จากพฤติกรรม ต่อไปนี้
มีความสนใจเรื่องราวและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
มีความอยากรู้อยากเห็น
มีพัฒนาการทางภาษาอย่างมาก
มีความสนใจค้นคว้าสิ่งแวดล้อมและสิ่งที่เด็กสัมผัส
ตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สามารถบูรณาการไปกับกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ศิลปะ และภาษา หรือนำกิจกรรมอื่น ๆ มาประสานด้วยได้ ข้อสำคัญต้องให้เด็กได้เรียนรู้จากการสังเกตและทดลอง ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างกิจกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ 3 – 4 ขวบ
สังเกตสัตว์เลี้ยง โดยให้เด็กไปดูปลา สัมผัสแมว ได้ลูบหมา
สังเกตพืช จำแนกส่วนประกอบของพืช ส่วนประกอบของผลไม้ สังเกตดอกไม้ และใบไม้
สังเกตรังของสัตว์ต่าง ๆ
ทดลองเลี้ยงสัตว์ ให้อาหารสัตว์
สังเกตสัตว์ในธรรมชาติ เช่น ดูนก ดูผีเสื้อ ดูแมลง
กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ 5 – 6 ขวบ
กิจกรรมสำหรับเด็กวัยนี้ให้มีการทดลองได้ เด็กสามารถเข้าใจมากขึ้น รวบรวมข้อมูลเป็น สรุปเป็น ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของกิจกรรม
จำแนกเมล็ดพืช จำแนกใบไม้ จำแนกสิ่งต่าง ๆ ที่หาได้
สังเกตสัตว์เลี้ยง เพื่ออธิบายลักษณะ นิสัย หรือวิธีการดูแล
สังเกตธรรมชาติ เช่น กลางวัน กลางคืน อุณหภูมิ
สังเกตการงอกของต้นไม้
ทำสวนครัว ปลูกต้นไม้
ศึกษาวงจรชีวิตสัตว์ต่าง ๆ เช่น ตัวไหม ผีเสื้อ กบ
ดูการฝักไข่ เก็บไข่การปลูกเห็ด เก็บผลไม้ต่าง ๆ
ประโยชน์จากการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
พัฒนาการทางปัญญาเป็นความสามารถทางสมองในการรวบรวมประสบการณ์และความรู้มาเป็นพื้นฐานของการคิดเหตุผล ช่วยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถแก้ปัญหาได้ และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถเหล่านี้สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นกับเด็กปฐมวัยด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทางปัญญา การพัฒนาทางสติปัญญา ไม่ใช่การเพิ่มระดับไอคิว แต่การพัฒนาทางสติปัญญาเน้นการเพิ่มพัฒนาการทางสติปัญญาใน 2 ประการ คือ
1. ศักยภาพทางปัญญา คือ การสังเกต การคิด การแก้ปัญหา การปรับตัว และการใช้ภาษา
2. พุทธิปัญญา คือ ความรู้ความเข้าใจที่ใช้เป็นพื้นฐานของการขยายความรู้ การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินเพื่อการพัฒนาการรู้การเข้าใจที่สูงขึ้น
การเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นการพัฒนาศักยภาพทางปัญญา และพุทธิปัญญา จากการทำกิจกรรมการเรียนวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เด็กได้จากกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพมีอย่างน้อย 4 ประการ คือ
1. ความสามารถในการสังเกต การจำแนก การแจกแจง การดู ความเหมือน ความต่าง ความสัมพันธ์
2. ความสามารถในการคิด การคิดเป็นการจัดระบบความสัมพันธ์ของข้อมูลภาพ และสิ่งที่พบเห็นเข้าด้วยกัน เพื่อแปลตามข้อมูลหรือเชื่อมโยงข้ออ้างอิงที่พบไปสู่การประยุกต์ใช้ที่เหมาะสม การคิดเป็นคือการคิดอย่างมีเหตุผล โดยคำนึงถึงหลักวิชาการและบริบท
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นระหว่างการจัดกิจกรรม เด็กจะได้เรียนรู้จากการค้นคว้าในการเรียนนั้น ๆ
4. การสรุปข้อความรู้ หรือมโนทัศน์จากการสังเกต และการทดลองจริงสำหรับเป็นพื้นฐานความรู้ของการเรียนรู้ต่อเนื่อง
ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เรื่อง การปรุงอาหาร
สำหรับ เด็กอายุ 5 – 6 ขวบ
มโนทัศน์การเรียนรู้ การปรุงอาหารเกิดจากการผสมส่วนประกอบของอาหารต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างถูกต้องตามชื่ออาหารนั้นให้ได้รสที่ต้องการ
ผลลัพธ์การเรียนรู้ ปรุงอาหารเป็น รู้จักรสอาหาร เช่น เค็ม เปรี้ยว หวาน สนุกกับการทำงานร่วมกับเพื่อน
สิ่งที่เด็กต้องปฏิบัติ ช่วยกันวางแผนปรุงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งที่กลุ่มเลือก และช่วยกันปรุงอาหารนั้น
อุปกรณ์ที่เตรียม เครื่องปรุง จาน ชาม ช้อนสำหรับใส่อาหารเครื่องครัวเท่าที่ต้องการ
กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
ครูทักทายเด็ก และสนทนาเรื่องอาหารการกิน
ครูบอกกิจกรรมและจุดประสงค์ของกิจกรรม
ขั้นดำเนินการ
1. ครูให้เด็กช่วยกันเลือกอาหารที่ตนเองชอบและต้องการปรุง (ครูอาจมีตัวเลือก 2 – 3 อย่าง ที่เป็นอาหารกลุ่มเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการเตรียมเครื่องปรุง เช่น ส้มตำ สลัดผัก แซนวิช เป็นต้น)
2. ให้เด็กแต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่กันทำ
3. เสร็จแล้วให้วางแผนร่วมมือกันพร้อมปรุงอาหารที่เลือก
4. แบ่งปันกลุ่มอื่นรับประทานอาหารร่วมกัน
ข้อสรุปบทเรียน
1. อภิปรายกลุ่มใหญ่เรื่องปัญหาการปรุงอาหารและการช่วยเหลือกัน
2. สรุปผลการปรุงอาหารว่าใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ใด
3. อาหารที่ปรุงมีรสอะไรบ้าง
การประเมินภาพการเรียนรู้
สังเกตการตอบคำถามเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ตัวอย่างกิจกรรมอาหาร เป็นกิจกรรมวิทยาศาสตร์ที่เด็กชอบมากเนื่องจากคุ้นเคยอยู่กับบ้านเป็นกิจวัตรที่เด็กทุกคนสนใจและต้องการทำ ในการจัดกิจกรรมอาหารนี้ ควรใช้กลุ่มเล็ก เพื่อความปลอดภัย และสามารถสนทนาในรายละเอียดเวลารับประทานร่วมกัน เด็กจะเกิดมโนทัศน์ เรื่องอาหาร เช่น ประโยชน์ของอาหารต่อร่างกาย และเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามจุดประสงค์ของกิจกรรม นอกจากนี้การรับประทานอาหารด้วยกันยังเป็นการฝึกให้เด็กช่วยตนเองในการรับประทานอาหาร เช่น ตักอาหาร และทำอาหารง่าย ๆ
สรุป
กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นการเรียนรู้ที่มีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ การฝึกทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และการเรียนรู้ข้อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นธรรมชาติรอบตัวที่เด็กพบในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการใช้ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ คือ
1) การสังเกต
2) การจำแนกเปรียบเทียบ
3) การวัด
4) การสื่อสาร
5) การทดลอง และ
6) การสรุปและนำไปใช้
สิ่งที่ได้จากการเรียนวิทยาศาสตร์คือ การสร้างให้เด็กมีนิสัยการค้นคว้า การสืบค้น และการทำความเข้าใจธรรมชาติรอบตัว รู้จักวิธีการค้นหาความรู้อย่างนักวิทยาศาสตร์ โดยการพัฒนาทักษะพื้นฐานวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกันเรียนรู้วิทยาศาสตร์รอบตัวไปด้วย
แหล่งอ้างอิง
กุลยา ตันติผลาชีวะ. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : เบรน-เบส บุ๊คส์, 2551http://www.karn.tv/c_science/tip_001.html#1
ที่มา :: http://www.gotoknow.org/posts/427486?
ตัวอย่างวิจัยวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6
ตัวอย่างวิจัยวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6
ตัวอย่างวิจัยวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
http://www.prapasara.co.uk/ScienceResearchP.6.html
ตัวอย่างวิจัยวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
การเข้าดูงานวิจัยฉบับเต็มมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
http://www.prapasara.co.uk/MahasarakhamResearchFulltext.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)