ตัน ภาสกรนที (4 เมษายน พ.ศ. 2502 - )
เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป
จำกัด (มหาชน)
ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เขาขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับบริษัท
ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในพ.ศ. 2551
และภายหลังประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโออิชิ
กรุ๊ปโดยจะมีผลในเดือนกันยายน 2553
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 เมื่อ ตัน อำลาจาก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ ตัน ก็ได้สร้างบริษัทขึ้นใหม่ชื่อว่า บริษัท ตันไม่ตัน จำกัด โดย ตัน ภาสกรนที ให้คำมั่นสัญญาในการทำบริษัทนึ้ว่า "ในการเริ่มต้นธุรกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัดครั้งนี้ เงินปันผลของบริษัทในส่วนที่ผมและคุณอิง ภรรยาของผมถือหุ้นอยู่ ผมขอแบ่งเงินปันผลนี้ 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป จนเมื่อผมอายุครบ 60 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ. 2562 ผมจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไปเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม"
ตัน เริ่มต้นธุรกิจ “โออิชิ” ภัตตาคารบุปเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น และมีธุรกิจอื่นๆ เช่น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน จนกระทั่ง มาทำธุรกิจเครื่องดื่ม คือ ชาเขียวโออิชิ และ อะมิโน โอเค
ปัจจุบันสมรสกับ อิง สุนิสา ภาสกรนที (สกุลเดิม: สุขพันธุ์ถาวร) หลังจากแยกทางจากภรรยาคนแรก และมีลูก 3 คน : กิ๊ฟ วริษา (เกิดกับภรรยาคนแรก) , เก็ท และ ใกล้ใกล้
อ้างอิง
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 เมื่อ ตัน อำลาจาก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ ตัน ก็ได้สร้างบริษัทขึ้นใหม่ชื่อว่า บริษัท ตันไม่ตัน จำกัด โดย ตัน ภาสกรนที ให้คำมั่นสัญญาในการทำบริษัทนึ้ว่า "ในการเริ่มต้นธุรกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัดครั้งนี้ เงินปันผลของบริษัทในส่วนที่ผมและคุณอิง ภรรยาของผมถือหุ้นอยู่ ผมขอแบ่งเงินปันผลนี้ 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป จนเมื่อผมอายุครบ 60 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ. 2562 ผมจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไปเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม"
ประวัติ
ตัน ภาสกรนที เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2502 ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน ที่มีฐานะปานกลาง ที่บิดาอพยพมาจากประเทศจีน และได้ตั้งรกรากที่จังหวัดชลบุรี ตันจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเริ่มทำงานแรกเป็นพนักงานแบกของ เริ่มต้นค่าแรงในการทำงาน 700 บาท และหันมาทำอาชีพพ่อค้าแผงหนังสือที่ชลบุรี และได้เริ่มต้นซื้อห้องแถวขยายกิจการจนเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ตัน เริ่มต้นธุรกิจ “โออิชิ” ภัตตาคารบุปเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น และมีธุรกิจอื่นๆ เช่น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน จนกระทั่ง มาทำธุรกิจเครื่องดื่ม คือ ชาเขียวโออิชิ และ อะมิโน โอเค
ปัจจุบันสมรสกับ อิง สุนิสา ภาสกรนที (สกุลเดิม: สุขพันธุ์ถาวร) หลังจากแยกทางจากภรรยาคนแรก และมีลูก 3 คน : กิ๊ฟ วริษา (เกิดกับภรรยาคนแรก) , เก็ท และ ใกล้ใกล้
หลังจากออกจากโออิชิ
ตัน ได้สร้างธุรกิจใหม่ ได้แก่ Melt Me, Yes R&B, Ramen Champian ตั้งอยู่ที่กลางซอยทองหล่อ 10 และ ได้หวนคืนธุรกิจเครื่องดื่มอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า Double Drink น้ำดื่มผลไม้ และชาเขียวอิชิตัน นอกจากนี้ เขายังมีผลงานร่วมกับอุดม แต้พานิช ในรูปแบบของการตลาดที่หลากหลายอ้างอิง
- ^ 'ตัน'แถลงวันนี้'อำลา'โออิชิมีผล9ก.ย. www.suthichaiyoon.com 29 กรกฎาคม 2553
- ^ "ทำธุรกิจไม่ยึดติด 'ตัน ภาสกรนที' ยิ้มพร้อมน้ำตา โบกมือลาโออิชิ" กรุงเทพธุรกิจ Bizweek 2 สิงหาคม 2553 หน้า 3
- ^ คำมั่นสัญญา ภารกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัด และมูลนิธิตันปัน บน http://www.facebook.com/tanmaitan เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
- ^ ตัน ภาสกรนที เป็นอย่างเขาไม่ยาก? www.gotomanager.com
- ^ “ตัน” กะ “โน้ส” Double Brand สร้าง Brand
ตัน ภาสกรนทีตั้ง'มูลนิธิตันปัน'
ตัน ภาสกรนที ตั้ง'มูลนิธิตันปัน'ตามอำเภอใจแบ่งปันรอยยิ้มสู่เด็กน้อย
จากความหลังฝังใจเรื่องโอกาสในการศึกษาที่มีน้อยกว่าคนอื่น ทำให้ผู้ชายคนนี้ ตัน ภาสกรนที กรรมการบริหาร บริษัท ไม่ตัน จำกัด มุ่งมั่นที่จะทำความฝันให้เป็นจริง เป็นแรงบันดาลใจให้ก่อเกิด "มูลนิธิตันปัน" ที่เขาประกาศแบ่งรายได้จากเงินปันผลในส่วนที่เป็นของตัวเอง และ สุนิสา ภาสกรนที ภรรยา ถือหุ้นอยู่ จำนวน 50% ให้แก่มูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการบริษัท จนกระทั่งเขาอายุครบ 60 ปี จากนั้นตั้งแต่วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ.2562 เขาจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้แก่มูลนิธิตันปันตลอดไป เพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม
ส่วนตัวไม่ได้เป็นคนใช้เงินฟุ่มเฟือย มาถึงวันนี้ครอบครัวก็มีความสุขดี มั่นคงแล้ว
"ถ้าผมเห็นแก่ตัว ผมก็หยุดแล้ว พอแล้ว แต่ผมมองว่า ที่ผมและครอบครัวมีวันนี้ได้ เพราะมีคนอื่นให้โอกาส ดังนั้น ผมและครอบครัวควรตอบแทนสังคมด้วยการช่วยเหลือคนอื่น อยากเป็นตัวอย่างเล็กๆ ให้แก่สังคม ผมเรียกบริษัทไม่ตันว่า ธุรกิจเพื่อภารกิจ เวลาจะทำอะไร ผมจะมองยาวๆ ไม่มองเฉพาะหน้า เปรียบเสมือนใช้แว่นขยายส่องไปไกลๆ เพื่อดูว่า สุดท้ายของสุดท้ายจะเป็นอย่างไร การทำธุรกิจครั้งนี้ทำเพื่ออะไร"
มีคนเคยถามว่า ทำไมไม่มอบเงิน 300 ล้านบาทให้มูลนิธิตันปันไปตั้งแต่แรก ตัน เล่าถึงแนวคิดของเขาว่า ถ้าฝากธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยไม่มาก จึงหันมาใช้วิธีทยอยให้ดีกว่า เพราะต่อไปมูลนิธิก็จะอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง แม้ว่าวันนั้นอาจจะไม่มีเขาอยู่แล้วก็ได้
"ตอนนี้ลงทุนสร้างโรงเรียนอนุบาลที่บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ในพื้นที่ 25 ไร่ และซื้อเพิ่มอีก 16 ไร่ รวมเป็น 41 ไร่ ลงทุนไป 30 กว่าล้านบาทแล้ว ทั้งซื้อที่และก่อสร้างเบ็ดเสร็จอาจจะถึง 40 ล้านบาท และเริ่มไปดูที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนที่ 2 และ 3 ทางภาคอีสานแล้ว เล็งไว้ที่นครราชสีมา ขอนแก่น หรืออุดรธานี ผมไม่อยากให้มูลนิธิเป็นภาระกับใคร ผมจึงนำเงิน 300 ล้านบาทที่จะตั้งมูลนิธิ ไปทำธุรกิจเพื่อให้เกิดดอกผล สิ่งที่อยากให้มูลนิธิ คือให้เวลาอีก 8 ปี ช่วยกันสร้างบริษัทให้มั่นคง กำไรส่วนของผมและภรรยามอบให้มูลนิธิ วันหนึ่งผมอยากเกษียณออกมาทำในสิ่งที่อยากทำ เป็นอาสาสมัคร ทำในสิ่งที่ไม่ต้องคำนึงเรื่องกำไรเป็นหลัก ตอนนั้นบริษัทมีเจ้าของ คือลูก และลูกน้องที่ไม่ต้องนำกำไรของพวกเขาไปมอบให้มูลนิธิแล้ว"
ตัน เล่าอีกว่า การทำมูลนิธิ โดยเฉพาะการช่วยเหลือด้านการศึกษา ส่วนหนึ่งมาจากความฝันในวัยเด็กที่เรียนน้อย เป็นจินตนาการที่ฝันไว้ว่า วันหนึ่งเมื่อมีความพร้อมก็อยากจะตอบแทนสังคมด้านการศึกษา เป็นความสุขที่ผมฝันไว้มานาน ตอนนี้สนามฟุตบอลเสร็จแล้ว ตัวโรงเรียนกำลังก่อสร้าง และทำเศรษฐกิจพอเพียง มีบ่อปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ในเนื้อที่ประมาณ 30 กว่าไร่ จ้างครูดีๆ โรงเรียนดี ครูดี นักเรียนก็จะมีคุณภาพ เขาออกตัวว่า ไม่ได้ทำเรื่องใหญ่ แต่ทำเล็กๆ ที่มีคุณภาพ
ตราบใดที่เครื่องดื่มอิชิตัน หรือร้านอาหารในเครือบริษัทไม่ตันยังขายได้ กำไรครึ่งหนึ่งก็จะกลับไปที่มูลนิธิโดยอัตโนมัติ มูลนิธิอยู่ได้ ไม่อยากทำอะไรที่ได้หน้า เป็นข่าว แต่ไม่ยั่งยืน ขอเป็นความสุขส่วนตัว ที่ต้องลงทุนและลงแรงด้วย
นอกจากนี้ ก็มีสวนป่าสาธารณะที่บ่อทอง ปลูกมาประมาณ 2 ปีมาแล้ว เป็นการปลูกป่าให้เป็นสวนสาธารณะด้วย โดยนำคนในชุมชนประมาณ 1,000 คน เป็นเด็ก 500 คน เพื่อให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลต้นไม้ ในที่สุดก็เป็นสวนสาธารณะของชุมชน เขาจะดูแลให้ 5 ปี ปีหน้าจะทำถนนเพื่อเป็นที่วิ่งออกกำลังกาย สร้างห้องน้ำ และสร้างบ้านเล็กๆ 2 หลัง ให้คนดูแลสวนพักอาศัย จากนั้นให้คนดูแลหารายได้จากการบริการห้องน้ำ ขายน้ำดื่มให้แก่ผู้ที่มาออกกำลังกาย ใช้พื้นที่ที่เหลืออยู่ประมาณ 200 ตร.ม. จัดงาน บริหารงานเองโดยไม่ต้องมาพึ่งเขาอีก ปลูกดอกไม้ ไม้ผล มีบ่อปลาเพื่อนำไปขายเป็นรายได้เลี้ยงตัวเองได้ เหมือนโรงเรียนที่จะให้ดูแลบริหารตัวเองได้ ต้องคิดให้ครบถ้วนให้สามารถอยู่ได้จริงๆ ตลอดไป มีรายได้ดูแลตัวเองได้ตลอดไป
"ผมไม่ไปตีกอล์ฟ ไม่ไปดำน้ำ แต่ความสุขของผมคือ การทำในสิ่งที่อยากทำ ผมชอบทำตามอำเภอใจ แต่อย่าคาดหวังกับผมมากว่า ผมจะทำให้โลกร้อนลดลง ผมทำเพราะอยากทำ ทำแล้วมีความสุข แค่นี้พอใจแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ ครอบครัว และธุรกิจ ต้องทำไปพร้อมกัน ผมได้ดูแลครอบครัว ทำธุรกิจ และทำเพื่อนสังคมได้ ไม่ต้องหรือทำทีละอย่าง แค่นี้ ผมก็พอใจแล้ว" ตัน อิชิตัน ทิ้งท้ายอย่างกินใจ
คำมั่นสัญญา ภารกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัด และมูลนิธิตันปัน
ตอบลบเคยมีคนถามผมว่าตอนเด็กๆเคยฝันบ้างไหมว่าจะประสบความ สำเร็จหรือมีฐานะเหมือนทุกวันนี้ ผมตอบว่าทุกอย่างในวันนี้เกินกว่าที่ผมเคยฝันไว้ และเมื่อเขาถามว่าอะไรคือที่มาของความสำเร็จในวันนี้ ผมตอบทันทีว่า โอกาส
ตั้งแต่ 31 ปีก่อน ตอนอายุ 17 ปี ผมได้รับ”โอกาส”เข้าทำงาน แม้จะ...เริ่มต้นด้วยแบกของและเริ่มมาเป็นพนักงานส่งของ แต่ก็ได้รับโอกาสการฝึกงาน ทำงาน จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Sale Supervisor และวันหนึ่ง ผมก็ตัดสินใจไปทำธุรกิจขายแผงหนังสือพิมพ์ที่ชลบุรี ก็ยังได้รับ”โอกาส”และการสนับสนุนจากผู้ใหญ่และเพื่อนหลายคน จนทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อครั้งผมล้มลุกคลุกคลานมีหนี้สินมากกว่า 100 ล้านบาท ผมก็ยังได้รับน้ำใจจากคนรอบข้างที่ได้ให้ความช่วยเหลือหลายครั้งหลายหน จนทำให้ผ่านพ้นวิกฤตไปทุกครั้งจนทำให้ผมมีวันนี้ เพราะผมเคย”ได้รับ”มาก่อน ผมจึงรู้คุณค่าของ”การให้”
ในวันนี้ ผมมีความมั่นคงในทางครอบครัวพอสมควร คงไม่กล้าจะบอกว่า ตัวเองรวยแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่า “เพียงพอ” และผมมีครอบครัวสมบูรณ์และมีความสุขที่สุดแล้ว อีกทั้งยังโชคดีที่ภรรยาก็ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด
ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ผมมี”ความสุข”จาก”ความสำเร็จ”ของการทำงาน มี”ความสุข”จากตัวเลขฐานะการเงินของบริษัทและส่วนตัว แต่วันนี้มุมมองเรื่อง”ความสุข”ของผมเปลี่ยนไป เพราะความสำเร็จและฐานะในวันนี้เกินกว่าที่ผมเคยฝันไว้แล้ว “ตัวเลข”ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ผมมี”ความสุข”ในช่วงหลังคือการได้ช่วยเหลือสังคมไม่ว่าจะ เป็นการบรรยายให้ความรู้หรือการจัดงานช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน“รอยยิ้ม”ของ คนที่เดือดร้อนต้องการความ ช่วยเหลือ คือ “ความสุข”ของผมในวันนี้ ผมจึงอยากเปลี่ยนฐานะ จากที่เคยเป็น “ผู้รับ” มาเป็น “ผู้ให้” บ้าง
ดัง นั้น ในการเริ่มต้นธุรกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัดครั้งนี้ เงินปันผลของบริษัทในส่วนที่ผมและคุณอิง ภรรยาของผมถือหุ้นอยู่ ผมขอแบ่งเงินปันผลนี้ 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป จนเมื่อผมอายุครบ 60 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ.2562 ผมจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไปเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม
ผม จำได้ว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์สึนามีที่ภาคใต้ ผมได้มีส่วนร่วมเล็กน้อยในการช่วยเหลือ ทั้งเรื่องเงิน และการอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ จนวันหนึ่งผมมีโอกาสไปดูเหตุการณ์จริงที่เขาหลัก ได้พบผู้คนมากมาย ทั้งหมอ เยาวชน ชาวบ้าน ที่เสียสละแรงกาย ลางาน ขาดงาน ขาดรายได้ เพื่อที่จะไปช่วยค้นหาศพผู้เสียชีวิต บางคนมานอนกินอยู่ที่นั่นตั้งแต่วันแรก จนถึงวันสุดท้ายตลอดระยะเวลาหลายเดือนด้วยกัน วินาทีนั้นผมรู้สึกเลยว่าเงินที่ผมบริจาคไปเทียบไม่ได้เลยกับความเสียสละของ คนที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเราจะช่วยเหลือเงินเท่าไหร่ ก็เทียบไม่ได้กับการเสียสละเวลาและความสุขส่วนตัวเพื่ออยู่ ณ จุดนั้น ซึ่งถือเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าเงินหลาย ร้อยเท่า ผมตั้งใจว่า 9 ปีนับจากนี้ ผมจะมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัท ไม่ตัน ให้เป็นธุรกิจเพื่อภารกิจของ มูลนิธิตันปัน และ “เป้าหมาย”ของผมนับจากนี้ ไม่ใช่”การได้รับ” แต่เป็น”การให้”
“ความสุข”ของผมจะไม่ได้อยู่ที่”ตัวเลข” แต่เป็น”รอยยิ้ม”ของคนที่”ได้รับ”
ผมเชื่อเสมอว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เราเลือกที่จะ”เป็น”ได้ และวันนี้ ผมเลือกแล้ว
ตัน ภาสกรนที
9 กันยายน 2553
.
หัวใจวีรบุรุษ ของ ตัน อิชิตัน - สรยุทธ
ตอบลบจากผู้ที่บริจาคกลายเป็นบุคลที่ประสบภัยสะเอง สำหรับคุณ ตัน อิชิตัน วันนี้ทีมงานโซนซ่ามีคลิปที่คุณ สรยุทธ บุกไปทำข่าวถึงโรงงานคุณตัน เองเลย ได้ฟังได้ดูแล้วรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้สุดยอดจริงๆ
คุณตัน ภาสกรนที น้ำตารินกลางรายการ เจาะข่าวเด่น เผยโรงงานที่โรจนะจมน้ำ 2/2
น้ำท่วมครั้งนี้คุณตัดบริจาคเงินมาแล้วนับร้อยล้าน ทั้งสิ่งของอุปกรณ์เงิน และลงแรง ต่างๆนาๆ และนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่คุณตันบริจาค คุณตัน ติดอับดับ 48 มหาเศรษฐีผู้ใจบุญของเอเชีย กันเลยทีเดียว ตั้งแต่สมัยที่มี สินามิ แล้ว
นายตัน ภาสกรนที วัย 51 ปี มหาเศรษฐีนักธุรกิจผู้ก่อตั้ง บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศ แบ่งผลกำไรบริษัทครึ่งหนึ่ง ตั้งมูลนิธิยกระดับการศึกษา สิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยว นอกเหนือจากการบริจาคเงิน 67,000 ดอลลาร์สหรัฐ สร้างอาคารใหม่โรงเรียนอนุบาลบ่อทอง ที่บ้านเกิดใน จ.ชลบุรี บริจาคเงินช่วยเหลือฟื้นฟูแผ่นดินไหวแ ละสึนามิพัดถล่มญี่ปุ่น อีก 143,000 ดอลลาร์สหรัฐ
อ้างอิง http://www.zoneza.com
ตัน ภาสกรนที
อายุ 51 ปี
ผู้ก่อตั้งบริษัทอาหารและเครื่องดื่มในเครือ OISHI และบริษัทไม่ตัน
หลังถอนตัวจากเครือโออิชิในปี พ.ศ.2553 ได้ตั้งบริษัทไม่ตันขึ้นทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยสัญญาว่าจะมอบเงินปันผลส่วนของตนและภรรยาที่ได้จากบริษัท จำนวน 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ทุกปีนับตั้งแต่บริษัทเริ่มดำเนินงาน จนกระทั่งอายุครบ 60 ปี จะมอบให้เพิ่มเป็น 90% ของเงินปันผลที่ได้ เพื่อนำไปใช้พัฒนาด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวของไทย เมื่อประเทศญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ได้ระดมเงินบริจาคไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้กว่า 143,000 เหรียญสหรัฐ
อ้างอิง http://edunews.eduzones.com/tewniti/84390
.
ตัน ภาสกรนที
ตอบลบตัน ภาสกรนที (4 เมษายน พ.ศ. 2502 - )เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เขาขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)ในพ.ศ. 2551และภายหลังประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโออิชิ กรุ๊ปโดยจะมีผลในเดือนกันยายน 2553
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 เมื่อ ตัน อำลาจาก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ ตัน ก็ได้สร้างบริษัทขึ้นใหม่ชื่อว่า บริษัท ตันไม่ตัน จำกัด โดย ตัน ภาสกรนที ให้คำมั่นสัญญาในการทำบริษัทนึ้ว่า "ในการเริ่มต้นธุรกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัดครั้งนี้ เงินปันผลของบริษัทในส่วนที่ผมและคุณอิง ภรรยาของผมถือหุ้นอยู่ ผมขอแบ่งเงินปันผลนี้ 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป จนเมื่อผมอายุครบ 60 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ. 2562 ผมจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไปเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม"
ประวัติ
ตัน ภาสกรนที เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2502 ในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเริ่มทำงานแรกเป็นพนักงานแบกของ เริ่มต้นค่าแรงในการทำงาน 700 บาท และหันมาทำอาชีพพ่อค้าแผงหนังสือที่ชลบุรี และได้เริ่มต้นซื้อห้องแถวขยายกิจการจนเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ตัน เริ่มต้นธุรกิจ “โออิชิ” ภัตตาคารบุปเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น และมีธุรกิจอื่นๆ เช่น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน จนกระทั่ง มาทำธุรกิจเครื่องดื่ม คือ ชาเขียวโออิชิ และ อะมิโน โอเค
ปัจจุบันสมรสกับ อิง สุนิสา ภาสกรนที (สกุลเดิม: สุขพันธุ์ถาวร) และมีลูก 3 คน : กิ๊ฟ วริษา (เกิดกับภรรยาคนแรก) , เก็ท และ ใกล้ใกล้
ตัน โออิชิ ประกาศวางมือ ลาออก โออิชิ บอกขอไปทำธุรกิจส่วนตัว และเพื่อเปิดทางให้นักบริหารรุ่นใหม่
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัทโออิชิ ต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทแล้ว โดยจะมีผลในวันที่ 9 ก.ย.นี้ แต่จะยังไม่ขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ ร้อยละ 3.50 และแม้ตนเองจะลาออกแต่ภรรยายังคงทำงานที่โออิชิ เหมือนเดิม
ตัน โออิชิ ระบุว่า การลาออกดังกล่าว ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับคณะกรรมการ ผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารคนอื่นแต่อย่างใด เพียงแต่อยากพักผ่อน และต้องการหันไปทำธุรกิจส่วนตัว ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหารอย่างจริงจัง อีกทั้งยังเป็นการเปิดทางให้ผู้บริหารรุ่นใหม่สืบทอดตำแหน่งดังกล่าวต่อไป ด้วย
อย่างไรก็ตาม จะมีแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการลาออกของ ตัน โออิชิ อีกครั้ง ในวันนี้ (29 ก.ค.)
สำหรับ "ตัน ภาสกรนที" หรือ "ตัน โออิชิ" เชื่อว่านาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเขา ในฐานะเจ้าพ่อแห่งอาณาจักร ผู้ร่ำรวยมหาศาล แต่ใครจะรู้บ้างว่า ชีวิตจริงของ "โออิชิ" "ตัน" กว่าจะได้แต่งงาน กว่าจะมีลูก และกว่าจะก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้ เขาต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย แต่โชคดีที่ "ตัน" มี "อิง สุนิสา" ภรรยาคู่ใจคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
ชีวิตของ "ตัน ภาสกรนที" เริ่มต้นไม่ได้สวยหรูนัก เขาเกิดจากครอบครัวที่มีฐานะธรรมดาๆ และได้เริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเป็นพนักงานแบกของ ก่อนจะเป็นพ่อค้าขายหนังสือ จนมีเงินเก็บสามารถซื้อห้องแถวเล็กๆ ได้ และต่อมาได้ขยับขยายจนกลายเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
....
...ต่อ...
ตอบลบจากนั้น "ตัน" ก็ได้รู้จักกับ "อิง สุนิสา สุขพันธ์ถาวร" เด็กสาวชลบุรีที่มีอายุห่างจากเขาถึง 11 ปี และเกิดความประทับใจกัน แต่ทว่าการคบหาของทั้งคู่กลับถูกกีดกันจากพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ถึงกระนั้นพวกเขาก็แอบคบหาติดต่อกันมาโดยตลอด จนในที่สุด "ตัน" ตัดสินใจเข้าไปขอ "อิง" จากพ่อของเธอ แต่ไม่ได้รับการอนุญาต ถึงขนาดที่พ่อของ "อิง" ประกาศกร้าวว่า "หากจะแต่งงานกันต้องข้ามศพพ่อไปก่อน"
จนเมื่อพ่อของ "อิง" เสียชีวิต แม่ของ "อิง" ก็ยังคงยึดเจตนารมณ์ของ "พ่อ" ที่จะกีดกันความรักของทั้งคู่ต่อไป แต่แล้วเหตุการณ์กลับเปลี่ยนแปลง เมื่อแม่ของอิงประสบอุบัติเหตุ ทำให้ฉุกคิดได้ว่า หากตัวเองเป็นอะไรไป ลูกๆ จะไม่มีคนดูแล ดังนั้นแม่จึงอนุญาตให้ "อิง" แต่งงานกับ "ตัน" ได้ ทว่าเป็น "ตัน" เองที่กลับปฏิเสธ และขอเลื่อนงานแต่งงานออกไป เนื่องจากในช่วงนั้น "ตัน" ได้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย และมีหนี้สินติดตัวกว่า 100 ล้านบาท จากการลงทุนทางธุรกิจ ด้วยความรักที่มีต่อ "อิง" ทำให้ "ตัน" ไม่ต้องการเห็นว่าที่ภรรยาต้องมาตกระกำลำบากไปกับเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ "ตัน" จะมีหนี้สินกว่า 100 ล้านบาท "อิง" ก็ไม่ได้ทอดทิ้ง หรือเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อ "ตัน" ไปแต่อย่างใด เธอและ "ตัน" ได้เริ่มต้นทำธุรกิจเวดดิ้งถ่ายรูปแต่งงาน เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ซึ่งความแปลกใหม่ของธุรกิจเวดดิ้งก็ทำให้พวกเขาสามารถหาเงินมาใช้หนี้กว่า 100 ล้านได้หมดภายใน 2 ปี จนในที่สุดพวกเขาก็ได้แต่งงานกันตามปรารถนา หลังจากผ่านพ้นมรสุมในชีวิตมาอย่างมากมาย และเริ่มคิดทำธุรกิจอาหารญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ "โออิชิ" ซึ่ง ณ ปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ผ่านพ้นเรื่องราวของการงาน และธุรกิจไป เหตุการณ์ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะสดใส "ตัน" และ "อิง" จึงเริ่มวาดฝันที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น โดย "อิง" คิดจะมีทายาทตัวน้อยๆ 5-6 คน ให้ได้ก่อนอายุ 35 ปี แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนมีลูกยาก และฮอร์โมนผิดปกติ ทำให้เธอตัดสินใจทำกิ๊ฟท์ ซึ่งนั่นทำให้ "อิง" ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อเจาะน้ำออกจากร่างกาย และฉีดยาทุกๆ วัน จนในที่สุดหนึ่งปีผ่านไป พวกเขาก็ได้ลูกชาย ชื่อ "น้องเก็ท" สมใจ
และด้วยความที่ "ตัน" และ "อิง" อยากมีลูกหลายๆ คน "อิง" จึงตัดสินใจพึ่งกระบวนการทางการแพทย์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะ "อิง" กลับแท้งลูก แต่พวกเขาก็ไม่ล้มเลิกความพยายาม "อิง" ได้ลองทำกิ๊ฟท์อีกครั้ง และผลก็คือ "อิง" แท้งลูกอีกเป็นหนที่สอง และหนที่สามตามมา
"ตัน" และ "อิง" ยังคงไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทำกิ๊ฟท์มาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพวกเขาก็มาประสบความในครั้งที่ 7 เมื่อ "อิง" ตั้งครรภ์แฝด 3 แต่ครั้งนี้ "ตัน" ต้องการให้ "อิง" นอนพักที่โรงพยาบาลเท่านั้น เขาจึงเนรมิตโรงพยาบาลให้กลายเป็นบ้าน และที่ทำงานตลอดระยะเวลากว่า 10 เดือน เพื่อดูแลภรรยาและลูกในครรภ์ให้ดีที่สุด แต่สุดท้าย "อิง" ก็ต้องเสียลูกในครรภ์ไป 2 คน เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ "น้องใกล้ใกล้" ที่คลอดออกมาได้สำเร็จ นั่นทำให้ "อิง" ตัดสินใจได้ว่า จะมีลูกเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น และจะเลี้ยงดูพวกเขาให้ดีที่สุด สมกับความยากลำบากที่กว่าจะได้ลูกมา
และนี่คือเรื่องราวชีวิตที่ต้องฟันฝ่า ทั้งเรื่องธุรกิจ และเรื่องครอบครัวของ "ตัน ภาสกรนที" ที่กว่าจะมาเป็น "เจ้าพ่อโออิชิ" และมีครอบครัวที่อบอุ่นน่าอิจฉาดังเช่นทุกวันนี้ เขาและภรรยาต้องเผชิญกับอุปสรรคมานานัปการ เชื่อว่าเรื่องราวของ "ตัน ภาสกรนที" คงให้ข้อคิด และเป็นกำลังใจให้แก่คนที่ต้องต่อสู้ชีวิตอยู่ ได้เป็นอย่างดี
ที่มา : kapook
.