ประวัติศาสตร์ออสเตรีย
ก่อนปลายศตวรรษที่ 8 ดินแดนซึ่งเป็นประเทศออสเตรียในปัจจุบัน ได้มีชนชาติต่างๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ที่สำคัญได้แก่ ชนเผ่าเยอรมัน ซึ่งได้ข้ามแม่น้ำดานูบลงมาทางใต้ และชาวสลาฟซึ่งได้อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของออสเตรีย จนสิ้นสุดศตวรรษที่ 8 กษัตริย์ Charlemagne ได้ก่อตั้งเขตชายแดนระหว่างแม่น้ำอินส์ แรบ และดราวา เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันการรุกรานของชาวเอวาร์ และภายหลังจากที่ชาวโรมันได้อพยพออกไป นักบวชชาวไอริชและสก็อตจึงได้เข้ามาเผยแพร่คริสตศาสนาในดินแดนบริเวณเทือกเขาอัลไพน์แห่งนี้ ราชวงศ์ Babenberg ของชาวบาวาเรียนได้เข้าปกครองออสเตรียในปี ค . ศ . 976 ซึ่งยังมีประชาชนอยู่เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษต่อๆ มา ราชวงศ์ Babenberg ได้ใช้ยุทธศาสตร์สร้างความแข็งแกร่งให้แก่อาณาจักร และขยายประเทศไปอย่างกว้างขวาง ภายหลังจากที่ราชวงศ์ Babenberg ได้หมดอำนาจลงในกลางศตวรรษที่ 13 ราชวงศ์ Habsburg ได้เข้ามามีอำนาจในดินแดนนี้แทน และขยายอาณาเขตออกไปจนถึงแถบประเทศสเปน จนกระทั่ง ในปี 1522 ราชวงศ์ Habsburg จึงได้แตกออกเป็นสายออสเตรีย และสายสเปน อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ Habsburg ยังคงขยายอาณาเขตต่อไป โดยในปี ค . ศ . 1526 ได้ผนวกดินแดนโบฮีเมียและฮังการี เข้าไว้ด้วย ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 ออสเตรียต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรออตโตมัน แต่โดยที่ออสเตรียสามารถเอาชนะกองทัพของอาณาจักรออตโตมันได้ ออสเตรียจึงได้ครอบครองดินแดนเพิ่มขึ้น และกลายเป็นมหาอำนาจรายหนึ่งในยุโรป ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 จักรพรรดินีมาเรีย เธเรซา และโจเซฟ ที่สอง ได้ทำการปฏิรูป และวางรากฐานการปฏิรูปการบริหารจัดการของรัฐให้ทันสมัย แต่การปฏิวัติฝรั่งเศสและสงครามนโปเลียน ได้ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้นเปลี่ยนไป นอกจากนี้ หลังจากที่อิตาลีได้ก่อตั้งขึ้นเป็นประเทศ ราชวงศ์ฮับสบรูกส์ต้องต้องยินยอมต่อการเคลื่อนไหวของนักชาตินิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในปี ค . ศ . 1867 จักรพรรดิฟรันซ์ โจเซฟ จึงได้ยอมตั้งราชวงศ์ร่วม (double monarchy) ออสเตรีย - ฮังการี ราชวงศ์ออสเตรีย - ฮังการี เป็นผู้เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี ค . ศ . 1914-1918 อันมีสาเหตุเนื่องมากจากการลอบสังหารเจ้าชาย Francis-Ferdinand ซึ่งเป็นทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย - ฮังการี โดยนักชาตินิยมชาวเซิร์บ โดยออสเตรียเป็นฝ่ายแพ้สงคราม และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ออสเตรียจึงได้ประกาศตัวเป็นสาธารณรัฐ แต่ในขณะนั้น ออสเตรียมิได้มีอำนาจดังเช่นในอดีตแล้ว ในปี ค . ศ . 1938 ออสเตรียถูกกดดันจากเยอรมนีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ และประสบกับภาวะการขาดเสถียรภาพภายในประเทศในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่ง ในปี ค . ศ . 1945 เมื่อสงคราม โลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ประเทศพันธมิตรได้ช่วยออสเตรียให้ฟื้นตัวขึ้นสู่ความเป็นประเทศสาธารณรัฐอีกครั้ง แต่ออสเตรียยังคงถูกยึดครองโดยกองทัพฝรั่งเศส อังกฤษ สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาจนถึงปี 1955 ซึ่งได้มีการลงนามในสนธิสัญญาประเทศออสเตรีย และในปีเดียวกัน รัฐสภาออสเตรียได้ออกกฎหมายให้ออสเตรียเป็นประเทศที่มีสถานะเป็นกลางอย่างถาวร รวมทั้งได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติด้วย ออสเตรียได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค . ศ . 1995 และได้เป็นประธานสภาสหภาพยุโรปเป็นครั้งแรกในครึ่งหลังของปี ค . ศ . 1995.
การเมืองการปกครอง
ออสเตรียปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี และอาจดำรงตำแหน่งต่ออีกวาระ ประธานาธิบดีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากหัวหน้าพรรคที่ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงข้างมากในสภาเพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี รัฐสภาประกอบด้วยสภาล่าง (Nationalsrat) มีสมาชิก 183 คน ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก 4 ปี และสภาสูง (Bundesrat) มีสมาชิก 64 คน ได้รับเลือกตั้งจากสภาจังหวัด (Provincial Diet)
ออสเตรียแบ่งเขตการปกครองเป็น 9 จังหวัด (federal province) ได้แก่ Lower Austria, Upper Austria, Salzburg, Styria, Carinthia, Tirol, Vorarlberg, Burgenland และ Vienna ซึ่งมีสถานะเป็นมหานคร แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองเป็นอิสระยกเว้นการต่างประเทศและการป้องกันประเทศ แต่ละจังหวัดมี Governor ซึ่งได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร
พรรคการเมืองออสเตรีย
ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ออสเตรียเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมาโดยตลอด โดยมีพรรคการเมืองที่สำคัญดังนี้คือ
พรรค Austrian People's Party- ÖVP เป็นพรรคใหญ่ และเคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรค Social Democratic Party - SPÖ มา 3 สมัย ก่อนที่จะหันมาร่วมมือกับพรรค Alliance for the Future of Austria (BZ) ที่ได้แยกตัวออกมาจากพรรค Freedom Party-FPÖ ในเดือนเมษายน 2548 มีนาย Wolfgang Schüssel เป็นหัวหน้าพรรค
พรรค Social Democratic Party - SPÖ เป็นพรรคใหญ่ที่สุดของออสเตรีย และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ทศวรรษ 60 ในการเลือกตั้งในปี 2543 พรรค SPÖ ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดแต่ไม่สามารถโน้มน้าวพรรคอื่นร่วมจัดตั้งรัฐบาล จึงต้องกลับเป็นฝ่ายค้าน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันสังกัดพรรคการเมืองนี้
พรรค Alliance for the Future of Austria - BZÖ เป็นพรรคที่แยกตัวออกมาจากพรรค FPO นำโดยนาย Jörg Haider
พรรค Freedom Party - FPÖ เป็นพรรคที่มีแนวนโยบายขวาจัด ปัจจุบัน นาย Herbert Haupt ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
พรรค Greens เป็นพรรคฝ่ายค้าน มีนโยบายอนุรักษ์นิยม
นอกจากนี้ ยังมีพรรคการเมืองอื่นๆ อีก อาทิ พรรคคอมมิวนิสต์ พรรค Liberal Reform พรรค Democrats พรรค Christian Election Community และ พรรค Socialist Left แต่ไม่คะแนนมีเสียงที่จะมีที่นั่งในสภา
สถานการณ์ทางการเมือง
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 รัฐสภาออสเตรียได้ลงมติที่จะไม่จัดทำการลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญสหภาพยุโรป ตามที่ชาวออสเตรีย 5,000 คน เข้าชื่อเรียกร้อง แต่มีการลงคะแนนเสียงของรัฐสภาแทนเพื่อให้สัตยาบันต่อรัฐธรรมนูญสหภาพยุโรปในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2548 ทั้งนี้ มีเพียงหนึ่งเสียงเท่านั้นจาก183 เสียงที่ไม่สนับสนุนรัฐธรรมนูญสหภาพยุโรป
ออสเตรียได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2549 ซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งกว่าร้อยละ 74 พรรค SPÖ ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดคิดเป็น 68 ที่นั่ง จากทั้งหมด 183 ที่นั่งในสภา (ร้อยละ 35.3) ตามมาด้วยพรรค ÖVP) ได้ 66 ที่นั่ง (ร้อยละ 34.3) ถัดมาได้แก่พรรค Green 21 ที่นั่ง (ร้อยละ 11.0) พรรค Freedom Party (FPÖ) 21 ที่นั่ง (ร้อยละ 11.0) พรรค Alliance for the Future of Austria (BZÖ) 7 ที่นั่ง (ร้อยละ 4.1) ผลการเลือกตั้งได้พลิกความคาดหมาย โดยผลการสำรวจชี้ว่าพรรค ÖVP ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนภายหลังจากการเลือกตั้งพรรค SPÖ และ ÖVP ได้เข้าสู่การเจรจาต่อรองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และได้มีความคืบหน้าในข้อตกลงบางเรื่อง เช่น การปฏิรูปค่าธรรมเนียมการศึกษา โดยนักศึกษาที่อาสาเข้าทำงานช่วยเหลือสังคมเป็นเวลา 60 ชม. ต่อภาคการศึกษาจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษา นอกจากนี้ รัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณสำหรับการศึกษาและการวิจัย รวมทั้งงบประมาณสนับสนุนระบบประกันความมั่นคงทางสังคม เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของออสเตรียในเวทีนานาชาติ ลดอัตราการว่างงาน ในด้านการต่างประเทศ ยังคงนโยบายการต่างประเทศที่เป็นกลาง และจะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนนโยบายด้านความมั่นคงของสหภาพยุโรป รวมทั้งไม่สนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของตุรกี นอกจากนี้เป็นที่คาดการณ์ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นาย Gusenbauer จะชะลอกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง ทั้งนี้ ระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีประชาชนกว่า 2,000 คนประท้วงรัฐบาล ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสังคมนิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบ Grand Coalition โดยนักศึกษาส่วนหนึ่งและแกนนำสหพันธ์สหภาพการค้าที่เป็นฐานเสียงของพรรคสังคมนิยมไม่เห็นด้วยกับพรรค SPÖ ที่โอนอ่อนให้พรรคอนุรักษ์นิยมได้คุมกระทรวงสำคัญ อีกทั้งไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ก่อนการเลือกตั้งว่าจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
การจัดสรรตำแหน่งในรัฐบาลมีดังต่อไปนี้ พรรค SPÖ บริหารกระทรวงกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษา กระทรวงยุติธรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงการสังคม กระทรวงกีฬา ส่วนนาย Wolfgang Schüssel อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่รับตำแหน่งในรัฐบาลและสละตำแหน่งหัวหน้าพรรค ÖVP ให้แก่นาย Wilhelm Molterer ซึ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ พรรค ÖVP คุมกระทรวงอื่นๆ อีก ดังต่อไปนี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจและแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม นาง Ursula Plassnik จากพรรค ÖVP ยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเช่นในรัฐบาลชุดที่แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลจะจัดตั้งกระทรวงสตรี (ÖVP) และกระทรวงวิทยาศาสตร์ (SPÖ) เพิ่ม
นโยบายต่างประเทศออสเตรีย
1. หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตได้บีบให้ออสเตรียประกาศนโยบายเป็นกลางเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่สหภาพโซเวียตจะถอนทหารออกจากออสเตรีย ทำให้ออสเตรียยึดหลักดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบเป็นกลางมาโดยตลอด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อออสเตรียเอง เนื่องจากเป็นหลักประกันว่าออสเตรียจะไม่ต้องไปเกี่ยวพันในสงครามและความหายนะจากสงครามดังเช่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
2. อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา ได้ลงนาม ในสนธิสัญญา State Treaty of Vienna เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2498 เพื่อรับรองฐานะความเป็นกลางถาวรของออสเตรีย และออสเตรียได้ประกาศความเป็นกลางของประเทศไว้เป็นการถาวรในรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2498 ซึ่งทำให้ออสเตรียไม่สามารถร่วมเป็นพันธมิตรทางทหาร หรืออนุญาตให้ทหารต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพในดินแดนออสเตรียได้ รัฐบาลออสเตรียทุกสมัยจึงยึดถือนโยบายเป็นกลางถาวรเป็นพื้นฐานในการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับประเทศต่างๆ ในลักษณะที่เรียกกันว่า active neutrality โดยให้ความ ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในปฏิบัติการรักษาสันติภาพตั้งแต่ปี 2503 และร่วมมือในการรักษาเสถียรภาพยุโรปในกรอบของคณะมนตรียุโรปและองค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือแห่งยุโรป (OSCE)
3. ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติในยุโรปในช่วงหลังสงครามเย็นได้ส่งผลให้ออสเตรียเริ่มปรับนโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงไปในทิศทางที่มีบูรณาการกับประเทศยุโรปอื่นๆ มากขึ้น เนื่องจากออสเตรียเริ่มยอมรับว่า ความพยายามร่วมกันของประเทศต่างๆ ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในกรอบพหุภาคีเป็นแนวโน้มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
การปราบปรามผู้ก่อการร้าย และในการระงับการแพร่หลายของอาวุธที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษยชาติ (weapons of mass destruction) อย่างไรก็ตาม ออสเตรียก็ยังคงยึดถือนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
4. นับแต่ปี 2538 ออสเตรียได้เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ใน Western European Union และ เข้าร่วมโครงการ Partnership for Peace ขององค์การนาโต้ โดยจำกัดบทบาทเฉพาะด้านปฏิบัติการรักษาสันติภาพและการให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและการบรรเทาภัยพิบัติ 5. นอกจากนี้ การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 ทำให้ออสเตรียมีบทบาทและนโยบายที่จะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการกำหนดสถานะทางการเมืองของยุโรป และได้ให้การสนับสนุนนโยบายบูรณาการระหว่างประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้งในด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง และด้านนโยบายต่างประเทศ
6. ออสเตรียสนับสนุนให้สหภาพยุโรปขยายตัวไปครอบคุลมกลุ่มประเทศอดีตสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก โดยที่ออสเตรียมีพรมแดนติดกับสาธารณรัฐเช็ก สโลวีเนีย และฮังการี ซึ่งได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในเดือนพฤษภาคม 2547 และมีมูลค่าการค้ากับกลุ่มประเทศเหล่านี้สูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศยุโรปอื่นๆ ออสเตรียจึงเป็นประเทศที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการขยายสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาการส่งออกของออสเตรียไปยังสาธารณรัฐเช็ก สโลวีเนีย และฮังการีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 250
7. นอกจากโครงสร้างร่วมของยุโรปด้านความมั่นคง การใช้แนวทางที่รวดเร็วในการสนับสนุนให้ประเทศยุโรปกลางและตะวันออกเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปแล้ว ออสเตรียยังให้ความสำคัญต่อการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรปให้สูงขึ้น การแก้ไขปัญหาการว่างงานในยุโรป การปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิชนกลุ่มน้อย และความโปร่งใสและความพร้อมในการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน
8. สำหรับภูมิภาคอื่นๆ นอกเหนือจากยุโรป ออสเตรียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศมหาอำนาจที่มีบทบาทในประเด็นระหว่างประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา โดยเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางนั้น ออสเตรีย มีนโยบายส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศอาหรับบางประเทศ และอิสราเอล โดยเน้นที่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
9. ในกรอบพหุภาคี ออสเตรียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ โดยคำนึงถึงบทบาทของออสเตรียในฐานะที่เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง อาทิ IAEA, UNIDO, OSCE, UNDCP, UNODC, CND และระหว่างปี 2009-2010 ออสเตรียได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวร UNSC
10. ออสเตรียเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้ง Human Security Network และได้มีบทบาทอย่างแข็งขันมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญกับการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก การให้ความช่วยเหลือเด็กที่บอบช้ำจาก Armed Conflict การปราบปรามยาเสพติด การจำกัดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ และการยับยั้งการแพร่กระจายอาวุธ
11. ในปัจจุบัน รัฐบาลผสม Grand coalition ให้ความสำคัญกับประเด็นการขยายสมาชิกภาพของ EU และการย้ายถิ่นฐาน โดยจะสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิก EU ของประเทศในคาบสมุทรบอลข่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครเอเชิย และไม่สนับสนุนการให้ตุรกีเข้าเป็นสมาชิก EU แต่เสนอให้ EU และตุรกีเป็น tailored partnership ระหว่างกัน ออสเตรียมีนโยบายต่างประเทศเป็นกลาง ได้มีการส่งทหารเข้าร่วมกองกำลังของ NATO ซึ่งเป็นไปเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคง อาทิ การสนับสนุนกำลังทหารในส่วน International Security Assistance Force (ISAF) ออสเตรียส่งเสริมบทบาทของ EU ในเวทีนานาชาติ โดยมีส่วนร่วมในการพัฒนา European Security and Defence Policy
12. ในด้านการให้ความช่วยเหลือต่อประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมาในปี พ.ศ. 2548 ออสเตรียได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของรายได้ประชาชาติ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีต่อๆ ไป
เศรษฐกิจการค้า
ออสเตรียนับเป็นรัฐสวัสดิการทีมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่งคั่ง และมีความก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่ง ในปี 2550 ออสเตรียมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 13 ของโลก และในปี 2548 ออสเตรียมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวมากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของสมาชิกสหภาพยุโรป โดยคิดเป็น 37,457 USD ซึ่งจัดอยู่ในลำดับที่ 6 ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาภาคบริการ (สัดส่วนการจ้างงานในภาคบริการคิดเป็น 1 ใน 3 ของการจ้างงานทั้งหมด) และการผลิตภาคอุตสาหกรรม (สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 31 ของ GDP) เป็นสำคัญ ส่วนภาคเกษตรกรรม มีผลผลิตค่อนข้างน้อยและมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในปี 2538 ออสเตรียได้ปฏิรูปด้านการเกษตรภายใต้นโยบายทางการเกษตรร่วมของสหภาพยุโรป และในปัจจุบัน เกษตรกรออสเตรียสามารถผลิตอาหารได้ร้อยละ 80 ของการบริโภคในประเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2 ของ GDP จุดแข็งของเศรษฐกิจออสเตรียอยู่ที่ ภาคบริการ การอำนวยความสะดวกด้านการพาณิชย์ การธนาคาร อุตสาหกรรม และการคมนาคม ทรัพยากรที่สำคัญของออสเตรียคือ แหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและเชิงวัฒนธรรม และแรงงานมีฝีมือ โดยความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเป็นไปแบบ Social Partnership ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่น ในภาคอุตสาหกรรมจะเน้นการผลิตสินค้าแปรรูปจากเหล็ก โลหะ กระดาษ เครื่องยนต์และส่วนประกอบ ภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับ low- and medium -tech อย่างไรก็ตามการวิจัยและพัฒนามีความต่อเนื่อง (สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 2.4 ในปี 2548 จากเดิม ร้อยละ 1.4 ในปี 2533) และอยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ยของสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งสะท้อนเหตุผลว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ออสเตรียได้เริ่มลงทุนในอุตสาหกรรมระดับ high-tech ในตลาดเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และด้วยความที่เป็นหน่วยเศรษฐกิจขนาดเล็ก ออสเตรียจึงพึ่งพาภาคส่งออกเพื่อเป็นการขยายขนาดเศรษฐกิจ มูลค่าการส่งออกในปี 2548 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของ GDP (จากเดิมร้อยละ 32.1 ในปี 2538) ออสเตรียมีบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี และได้รับผลประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของออสเตรีย คือ การขยายการค้าและการลงทุนในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก โดยมูลค่าการค้าระหว่างออสเตรียกับประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกมีมูลค่าถึงร้อยละ 15 ของมูลค่าการค้าทั้งหมด บริษัทออสเตรีย ได้มีการลงทุนขนาดใหญ่มากมายในตลาดเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่ต้องใช้แรงงานมีฝีมือจำนวนมากโดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีระดับสูง นอกจากนี้ ออสเตรียยังมีศักยภาพที่จะดึงดูดการลงทุนจากบริษัทของประเทศในสหภาพยุโรป ที่ต้องการเข้าถึงตลาดยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก
ระบบเศรษฐกิจออสเตรีย
เป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในอุตสาหกรรม และวิสาหกิจหลัก เช่น อุตสาหกรรมขั้นปฐม การผลิตกระแสไฟฟ้า ธนาคาร และกิจการสาธารณูปโภค สาเหตุที่รัฐได้เข้ามาจัดการบริหารแบบรวมศูนย์ ก็เพื่อป้องกันการครอบครองจากโซเวียตภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ออสเตรียจึงเริ่มแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาดได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่สูง รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพรรคขวา ได้มีแผนที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจการของรัฐเพิ่มเติม อันจะทำให้รัฐบาลออสเตรียมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจลดลง และในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างแบบ Social Partnership ในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ได้ลดน้อยลงตามเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนไป รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจึงมีนโยบายชะลอการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง และเป็นที่คาดว่า จะมีนโนบายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปแบบ Social Partnership ต่อไป
การค้าระหว่างประเทศ
ออสเตรียเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 ซึ่งออสเตรียได้ประสบความสำเร็จในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และการเข้าเป็นสมาชิก the Economic and Monetary Union (EMU) ได้ส่งผลให้ออสเตรียมีบูรณาการเพิ่มขึ้นกับตลาด EU โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเยอรมนี ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2545 ออสเตรียได้เริ่มใช้เงินสกุลยูโรทดแทนเงินชิลลิ่งในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้วิเคราะห์และลงความเห็นว่า การใช้เงินสกุลยูโรมีผลดีต่อเศรษฐกิจของออสเตรียโดยรวม
การค้าระหว่างออสเตรียกับประเทศสมาชิก EU คิดเป็นร้อยละ 84 ของมูลค่าการค้ารวม นอกจากนี้ เมื่อประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกได้เข้าเป็นสมาชิก EU เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 ออสเตรียถือเป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสมาชิก EU ใหม่มากที่สุด และส่งผลให้ออสเตรียขยายการค้าและการลงทุนไปสู่ประเทศเหล่านั้น โดยเน้นสาขาการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น และใช้เทคโนโลยีแบบ low-tech ในปัจจุบัน ออสเตรียนับเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงที่จะดึงดูดบริษัทในยุโรปตะวันตกที่แสวงหาฐานที่มีความเอื้ออำนวยต่อการเข้าสู่ตลาดกำลังพัฒนาในประเทศยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออก และประเทศในภูมิภาคบอลข่าน
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐออสเตรีย
ไทยกับออสเตรียมีความสัมพันธ์ด้านกงสุลตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กงสุลออสเตรียคนแรกคือนาย Alexius Redlich และออสเตรียยังเป็นประเทศแรกๆ ที่ส่งผู้แทนทางการทูตมาประจำประเทศไทยก่อนหน้าประเทศตะวันตกอื่น ๆ โดยในปีพ.ศ. 2410 จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 (Franz Joseph I) แห่งจักรวรรดิ์ออสโตร-ฮังการี ได้ส่งคณะทูตมาไทยเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทั้งสองประเทศได้จัดทำสนธิสัญญาไมตรี การค้า และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and Navigation) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2412 ต่อมาออสเตรียได้ส่งผู้แทนทางการทูตมาประจำประเทศไทยในปี พ.ศ. 2421
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยและออสเตรียได้ตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันในระดับอัครราชทูต เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 ซึ่งต่อมาได้ยกสถานะเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อปี พ.ศ. 2506 โดยมี พลจัตวา ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นเอกอัครราชทูตไทยคนแรกประจำกรุงเวียนนา สำหรับเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนาคนปัจจุบันคือ นางนงนุช เพ็ชรรัตน์ ส่วนเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยคนปัจจุบันคือ นายโยฮันเนส เปเทอร์ลิค (Johannes Peterlik)
ปัจจุบัน ไทยได้แต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเมืองซาลส์บูร์ก เมืองดอร์นบีร์น และเมืองอินส์บรุค ส่วนออสเตรียได้เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีอำนาจดูแลพื้นที่จังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี พังงา กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดเชียงใหม่ มีเขตอาณาครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองพัทยา
ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ด้านการค้า
ในปี 2552 ไทยและออสเตรียมีมูลค่าการค้ารวม 406.57 ล้านดอลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 176 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 230.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยขาดดุลการค้า 54.57 ล้านดออลลาร์สหรัฐ มูลค่าการค้ารวมลดลงคิดเป็นร้อยละ 34.61 จากปีก่อนหน้า ออสเตรียนับเป็นคู่ค้าลำดับที่ 48 ของไทย และเป็นลำดับที่ 12 ในกลุ่มคู่ค้าจากประเทศในสหภาพยุโรป ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับออสเตรียส่วนใหญ่ต้องส่งผ่านเยอรมนี ทำให้มีต้นทุนการขนส่งสินค้าที่สูง เนื่องจากออสเตรียไม่มีเขตติดต่อทางทะเล
สินค้าที่ไทยส่งออก
อัญมณีและเครื่องประดับ คอมพิวเตอร์ เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว ยานพาหนะและส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องยกทรง รัดทรงและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ถุงมือยาง ยางพารา เสื้อผ้าสำเร็จ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป แผงวงจรไฟฟ้า ผ้าผืนและด้าย ผลิตภัณฑ์พลาสติก
สินค้าที่ไทยนำเข้า
เครื่องจักรและส่วนประกอบ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ กระจก แก้วและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติก เครื่องเพชรพลอย อัญมณี อาวุธ ยุทธปัจจัย เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะ และเศษโลหะ
กลไกด้านการค้าระหว่างไทยและออสเตรีย ได้แก่ คณะทำงานร่วมทางการค้าไทย – ออสเตรีย จัดตั้งเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2532 จัดการประชุมแล้ว 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายจัดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 ที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูต. ณ กรุงเวียนนา ได้ร่วมกับภาคเอกชนออสเตรีย จัดตั้ง Business Club ขึ้น เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2547 เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างสอท.ฯ กับนักธุรกิจออสเตรีย และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า การลงทุนระหว่างกัน
ความสัมพันธ์ด้านการลงทุน
การลงทุนของออสเตรียในประเทศไทยที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน มี 30 โครงการ มูลค่าการลงทุนประมาณ 6,778.6 ล้านบาท การลงทุนของออสเตรียที่มีหลายโครงการ และมีการขยายโครงการมาโดยตลอด ได้แก่ โครงการร่วมลงทุนของบริษัทศรีตรัง อินดัสตรี จำกัด ในจังหวัดสงขลา ร่วมกับบริษัทเซมเพอริท เทคนิคโปรดักส์ จำกัดของออสเตรีย จัดตั้งบริษัทในประเทศไทยในชื่อ บริษัทสยามเซมเพอร์เมด จำกัด ผลิตถุงมือยาง มี 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 3,744.4 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีบริษัทเซมเพอฟอร์ม แปซิฟิก จำกัด ได้รับการส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 192.5 ล้านบาท ผลิตสินค้าจากยาง และชิ้นส่วนพลาสติกนอก และบริษัทคริสตัล Swarovsky ได้ตั้งโรงงานเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่บางพลี สำหรับปี 2551 มีการลงทุนจากออสเตรียจำนวน 3 โครงการ มูลค่า 271 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบริษัทผลิตหลอดแก้วสำหรับบรรจุเลือด บริษัทผลิตชุดชั้นในสตรี และบริษัท Swarovski เป็นต้น
ความสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวชาวออสเตรีย และในทางกลับกัน ออสเตรียเป็นประเทศเป้าหมายแรกๆ ในสหภาพยุโรปของนักท่องเที่ยวไทย ในปี 2551 มีนักท่องเที่ยวออสเตรียเดินทางมาไทยรวมทั้งสิ้น 80.404 คน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรียคิดเป็นลำดับที่ 12 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดจากสหภาพยุโรป สายการบิน Austrian Airlines Group (AUA) ได้เลือกประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และมีเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ-เวียนนา ทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
ความร่วมมือด้านวิชาการ
คณะกรรมการร่วม 2 ฝ่าย ว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปะ ได้มีการดำเนินโครงการภายใต้ความร่วมมือนี้มาตั้งแต่ปี 2527ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยของไทยและออสเตรีย โดยทั้งสองฝ่ายมีมติให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วม (Task Force) ขึ้นทุก 2 ปี โดยจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่ กรุงเวียนนา เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 โครงการภายใต้ความร่วมมือนี้ อาทิ โครงการการแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับออสเตรีย โครงการศาตราจารย์อาคันตุกะ การให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก รวมทั้งทุนฝึกอบรมและวิจัย
นอกจากนี้ในระดับพหุพาคี ไทยและออสเตรียเป็นสมาชิกเครือข่ายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยออสเตรียกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ASIA-UNINET) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 โดยมีสมาชิกจัดตั้งฝ่ายเอเชียได้แก่ ไทย เวียดนาอินโดนีเซีย และไทยเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากผลการดำเนินการในลักษณะเครือข่ายดังกล่าว ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีทรัพยากร ความช่วยเหลือ และความร่วมมือทางวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพและกว้างขวาง
ในปี 2547 ไทยและออสเตรียได้ฉลองครบรอบ 20 ปี ความร่วมมือด้านการศึกษา โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ เยือนออสเตรีย ระหว่างวันที่ 21-25 มีนาคม 2547 เพื่อทรงร่วมฉลองโอกาสดังกล่าว
ความตกลงที่ลงนามแล้ว
- ความตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ลงนามเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2509
- ความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ลงนามเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2524
- ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทยกับออสเตรีย ลงนามเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2516 และทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเพื่อปรับปรุงสิทธิการบินกันเป็นระยะ
- ข้อตกลงความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยของไทยกับออสเตรีย ลงนามเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2527
- อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ลงนามเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2528 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2529
- ความตกลงว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ลงนามเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2535
- ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการรถไฟ ลงนามเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2538
- ความตกลงปฏิบัติต่างตอบแทนว่าด้วยการใช้วิทยุสมัครเล่น ไทย-ออสเตรีย แลกเปลี่ยนหนังสือเมื่อเดือนเมษายน 2545
การเยือนที่สำคัญ
ฝ่ายไทย
พระราชวงศ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- ปี 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสจักรวรรดิออสเตรียโดยสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 ทรงถวายการต้อนรับ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
- ปี 2445 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงดำรงตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
- วันที่ 30 กันยายน - 5 ตุลาคม 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
- วันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
- วันที่ 31 พฤษภาคม – 7 มิถุนายน 2536 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย เพื่อทรงเปิดนิทรรศการ 700 Years of Thailand ที่กรุงเวียนนา
- วันที่ 11-16 กรกฎาคม 2550 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรียเป็นการส่วนพระองค์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
- วันที่ 23 - 27 ตุลาคม 2545 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
- วันที่ 31 สิงหาคม – 4 กันยายน 2532 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรียตามคำกราบบังคมทูลของประธานาธิบดีออสเตรีย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- วันที่ 1 - 9 มิถุนายน 2525 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
- วันที่ 14 – 25 มีนาคม 2537 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนโรมาเนีย ฮังการี ออสเตรีย เบลเยียม และสวิสเซอร์แลนด์
- วันที่ 21 – 25 มีนาคม 2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย เพื่อร่วมงานฉลองครบรอบ 20 ปี ความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ออสเตรีย
รัฐบาล
- วันที่ 14 - 16 กันยายน 2509 ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนออสเตรีย
- วันที่ 13 - 14 กันยายน 2521 นายอุปดิศร์ ปาจรียางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรีย
- วันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน 2523 นายอรุณ ภาณุพงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรียในระหว่างการเยือนยุโรปตะวันออก
- วันที่ 25 - 27 เมษายน 2525 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เยือนออสเตรีย
- เดือนมิถุนายน 2525 พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนออสเตรียเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาเกี่ยวกับ ASEAN-ยุโรป
- วันที่ 7 - 10 มีนาคม 2533 พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรีย
- วันที่ 28 - 30 สิงหาคม 2534ดร. วิเชียร วัฒนคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ นำคณะเดินทางไปร่วมการประชุม Dialogue Congress of Europe-ASEAN
- วันที่ 14 - 16 มิถุนายน 2536 น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เดินทางไปร่วมการประชุมเรื่องสิทธิมนุษยชนโลกที่กรุงเวียนนา
- วันที่ 10 - 11 กุมภาพันธ์ 2542 ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรียอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 8 - 9 กรกฎาคม 2546 ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรียอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 21 - 25 มีนาคม 2547 นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยือนออสเตรีย
ฝ่ายออสเตรีย
พระราชวงศ์
- ปี 2448 Archduke George และ Archduke Konrad พระราชนัดดาของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย
รัฐบาล
- ปี 2510 นาย Franz Jonas ประธานาธิบดีออสเตรีย และภริยา เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 26 - 29 มีนาคม 2524นาย Willibald Pahr รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย เยือนไทย
- วันที่ 1 - 2 ตุลาคม 2532 Dr. Franz Vranitzky นายกรัฐมนตรีออสเตรีย เยือนไทย
- วันที่ 11 - 14 กุมภาพันธ์ 2533 นาย Alois Mock รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศออสเตรีย เยือนไทย
- เดือนมีนาคม 2538 Dr. Thomas Klestil ประธานาธิบดีออสเตรียเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล
- วันที่ 1 - 3 พฤศจิกายน 2538 นาง Benita Ferrero-Waldner รัฐมนตรีช่วยว่าการ-กระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย เยือนไทย
- วันที่ 1 - 2 มีนาคม 2539 Dr. Franz Vranitzky นายกรัฐมนตรีออสเตรีย เยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม ASEM
- วันที่ 26 - 30 กรกฎาคม 2547นาง Elisabeth Gehrer รัฐมนตรีว่าการ-กระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมของออสเตรีย เดินทางเยือนไทย
- วันที่ 24 มีนาคม 2548 นาง Ursula Plassnik รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย แวะเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพฯ
เอกอัครราชทูตไทยประจำออสเตรีย นางนงนุช เพ็ชรรัตน์
เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำไทย นายโยฮันเนส เปเทอร์ลิค (Johannes Peterlik)
กงสุลกิตติมศักดิ์ไทยในออสเตรียประจำเมืองดอร์นบีร์น ซาลส์บูร์ก และเมืองอินส์บรูก
กงสุลกิตติมศักดิ์ออสเตรียในไทย กงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดภูเก็ต และกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดเชียงใหม่
ข้อมูลคนไทยในออสเตรีย
จำนวนคนไทยในออสเตรีย 3.500-4,000 คน มีนักเรียน 40-50 คน แรงงาน 300-400 คน มีร้านอาหารไทย 34 ร้าน (คนไทยเป็นเจ้าของ 21 ร้าน)
สถานะ/อาชีพของคนไทยในออสเตรีย: แม่บ้าน (70%) พนักงานทำความสะอาด (20%) พ่อครัว/แม่ครัว (5%) รับจ้างทั่วไป (5%)
จำนวนสมาคม/ชมรมไทยในออสเตรีย
1. สมาคมออสเตรีย-ไทย (สอท. ณ กรุงเวียนนา มีส่วนร่วมในการก่อตั้ง)
2. สมาคมไทยรักไทย ร่วมด้วยช่วยเมืองไทย
3. ชมรมนักศึกษาและคนไทยในออสเตรีย
ทั้งนี้ มีวัดไทยในออสเตรีย จำนวน 1 วัด ชื่อ วัดญาณสังวร เวียนนา
ที่มา : กองยุโรป 3 กรมยุโรป โทร. 0 2643 5142-3 Fax. 0 2643 5141 E-mail : european04@mfa.go.th
ประวัติศาสตร์ออสเตรีย ประวัติศาสตร์ออสเตรีย ในช่วงก่อนปลายศตวรรษที่ 8 ประเทศออสเตรียมีชนชาติอพยพต่างๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ ชนเผ่าเยอรมันที่ข้ามแม่น้ำดานูบ ลงมาทางตอนใต้ และชาวสลาฟที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ออสเตรีย จนสิ้นสุดศตวรรษที่ 8 ชาร์เลอมาญ(Charlemagne) ได้ก่อตั้งเขตชายแดนระหว่างแม่น้ำอินส์ แรบและดราวา เพื่อเป็นป้อมปราการ ป้องกันการรุกราน ของชาวเอวาร์ และภายหลังจากที่ชาวโรมัน ได้อพยพออกไป นักบวชชาวไอริช และสก็อตจึงได้เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนา ในดินแดนบริเวณเทือกเขาอัลไพน์แห่งนี้ ราชวงศ์บาเบนเบิร์ก (Babenberg) ของชาวบาวาเรียนได้เข้าปกครอง ออสเตรียในปี พ.ศ. 1519 ซึ่งยังมีประชาชนอยู่เพียงเล็กน้อย
ในศตวรรษต่อๆ มา ราชวงศ์บาเบนเบิร์กได้ใช้ยุทธศาสตร์สร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่อาณาจักร และขยายประเทศไปอย่างกว้างขวาง ภายหลังจากทางราชวงศ์ได้หมดอำนาจลง ในกลางศตวรรษที่ 13 ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) ได้เข้ามามีอำนาจในดินแดนนี้แทน และขยายอาณาเขตออกไป จนถึงแถบประเทศสเปน จนกระทั่ง ในปี 2065 ราชวงศ์ฮับส์บูร์กจึงได้แตกออกเป็นสายออสเตรีย และสายสเปน อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ฮับส์บูร์กยังคงขยายอาณาเขตต่อไป โดยในปี พ.ศ. 2069 ได้ผนวกดินแดนโบฮีเมียและฮังการีเข้าไว้ด้วย
ในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 ออสเตรียต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรออตโตมัน แต่โดย ที่ออสเตรียสามารถเอาชนะกองทัพของอาณาจักรออตโตมันได้ ออสเตรียจึงได้ครอบครองดินแดนเพิ่มขึ้น และกลายเป็นมหาอำนาจรายหนึ่งในยุโรป ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 จักรพรรดินีมาเรีย เธเรซา และจักรพรรดิโจเซฟที่ 2 ได้ทำการปฏิรูปและวางรากฐานการปฏิรูปการบริหารจัดการของรัฐให้ทันสมัย แต่การปฏิวัติฝรั่งเศสและสงครามนโปเลียนได้ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้นเปลี่ยนไป
จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2488 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2สิ้นสุดลง ฝ่ายพันธมิตรได้ช่วยออสเตรียให้ฟื้นตัวขึ้น สู่ความเป็นประเทศสาธารณรัฐอีกครั้ง แต่ออสเตรียยังคงถูกยึดครอง โดยกองทัพฝรั่งเศส อังกฤษ สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาจนถึงปี 2498 ซึ่งได้มีการลงนามใน สนธิสัญญาประเทศออสเตรีย และในปีเดียวกัน รัฐสภาออสเตรียได้ออกกฎหมายให้ออสเตรีย เป็นประเทศที่มีสถานะเป็นกลางอย่างถาวร ออสเตรียได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538
ก่อนยุคกลาง
ในช่วงระหว่างยุคการรุกรานของบาบาเรียน อนารยชนสลาฟแห่งคารานทาเนียนได้อพยพมาในเทือกเขาแอลป์และขยายอาณาเขตกว้างขึ้นเรื่อยๆช่วงระหว่างศตวรรษที่ 7 ได้รวมกับพวกเซลโต-โรมานิกและก่อตั้งดินแดนคาเรนทาเนียครอบคลุมภาคตะวันออกและภาคกลางของออสเตรีย ในช่วงนั้นอนารยชนเยอร์มานิกแห่งบาวาเรียได้เข้ามาบุกเบิกในช่วงศตวรรษที่ 5 และ 6 ทางภาคตะวันตกของประเทศและในบาวาเรียซึ่งปัจจุบันคือ วอรารล์เบิร์กที่พวกอารามานเข้ามาอยู่ เยอร์มานิกได้รวมกับพวกราเอโต-โรมานิกและผลักดันให้พวกอารามานต้องอพยพไปอยู่ในเทือกเขา
คาเรนทาเนียภายใต้การกดขี่ของเผ่าเอวาร์ได้ประกาศอิสรภาพจากบาวาเรียในพ.ศ. 1288และได้กลายเป็นมาร์กราเวียท(เคานท์) ระหว่างผ่านไปหลายศตวรรษ ชาวบาวาเรียนได้อพยพลงมาแถบแม่น้ำดานูบและขึ้นไปในเทือกเขาแอลป์ และปัจจุบันชาวออสเตรียจึงนิยมพูดภาษาเยอรมันกันมาก
พวกบาวาเรียนได้อยู่ภายใต้อนารยชนแฟรงก์ ราชวงศ์คาโรลิงเจียนและได้กลายเป็นดัชชีแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตามลำดับ ดยุคทาซิลโลที่ 3 แห่งบาวาเรียผู้ต้องการอิสรภาพแก่บาวาเรียได้ถูกกำจัดและขับไล่ไปจากบาวาเรียโดยชาร์เลอมาญในพ.ศ. 1331
เขตแดนตะวันออกได้จัดตั้งขึ้นในยุคแห่งชาร์เลอมาญแต่ได้ถูกรุกรานโดยฮังการีในพ.ศ. 1452
บาเบนเบิร์กออสเตรีย
เชีย ออเรียนทอลลิส"(marchia orientalis)ซึ่งกลายเป็นเสาหลักแห่งแดนออสเตรียและมอบให้มาร์เกรฟลีโอโปลด์แห่งบาเบนเบิร์กในปีพ.ศ. 1519 หลังจากการก่อกบฏของดยุคเฮนรีที่ 2 แห่งบาวาเรีย
ชื่อ"ออสเตรีย"ปรากฏครั้งแรกในปีพ.ศ. 1509 ในเอกสารออสตราริชิซึ่งอ้างถึงดินแดนของบาเบนเบิร์ก ในศตวรรษต่อๆ มา ราชวงศ์บาเบนเบิร์กได้ใช้ยุทธศาสตร์สร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่อาณาจักร และขยายประเทศไปอย่างกว้างขวาง ในปีพ.ศ. 1699 เอกสาร Privilegium Minusได้ยกระดับออสเตรียขึ้นเป็นดัชชี ในปีพ.ศ. 1735 บาเบนเบิร์กได้รับสิทธิในการครอบครองดัชชีแห่งสไทเรียด้วยข้อตกลงจอร์เกนเบิร์ก ในเวลานั้น ดยุคบาเบนเบิร์กได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในภูมิภาคออสเตรีย เจริญสูงสุดในสมัยดยุคลีโอโปลด์ที่ 6 แห่งออสเตรีย(พ.ศ. 1741 - พ.ศ. 1773)
อย่างไรก็ตาม การพ่ายแพ้อย่างราบคาบของพระโอรสของพระองค์คือ ดยุคเฟรเดริกที่ 2 แห่งออสเตรียในปีพ.ศ. 1789 ทำให้เข้ามาถึงจุดดับสูญ จากข้อมูลในเอกสาร interregnum ในระยะเวลา 10 ปีระหว่างนี้มีการโต้แย้งกันอย่างมาก พระเจ้าออตโตกาที่ 2 แห่งโบฮีเมียได้เข้ายึดครองดัชชีแห่งออสเตรีย,สไทเรียและคารินเทียทั้งหมด รัชสมัยของพระเจ้าออตโตกาต้องสิ้นสุดเมื่อพระองค์พ่ายแพ้และสวรรคตในการต่อสู้แห่งแมชฟิลด์ ทำให้พระเจ้ารูดอฟที่ 1 แห่งฮับส์บูร์กได้เข้าครอบครองในปีพ.ศ. 1821
กษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก(คริสต์ศตวรรษที่ 13 - พ.ศ. 2461)
จุดเริ่มต้น(พ.ศ. 1821 - พ.ศ. 2069 )
การล่มสลายของบาเบนเบิร์กในศตวรรษที่ 13 ออสเตรียได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้าออตโตกาที่ 2 แห่งโบฮีเมียเพียงชั่วครู่ การแข่งขันกันในตำแหน่งจักรพรรดิกับพระเจ้ารูดอฟที่ 1 แห่งฮับส์บูร์ก พระเจ้าออตโตกาพ่ายแพ้และสวรรคตกลางสมรภูมิให้กับกษัตริย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งให้ออสเตรียแก่พระโอรสในปีพ.ศ. 1821 ออสเตรียได้อยู่ภายใต้อำนาจแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์กยาวนานถึง 640 ปี ในศตวรรษที่ 14 และ 15 ราชวงศ์ฮับส์บูรก์ได้ทำการรวบรวมแคว้นหรือดัชชีเล็กๆในอาณาบริเวณของออสเตรียเช่น ดัชชีเล็กๆที่อยู่ข้างๆดานูบและสไทเรียที่ได้มาจากสมัยพระเจ้าออตโตกาข้างๆออสเตรีย คารินเทียและคานิโอลาได้ตกอยู่ภายใต้ฮับส์บูร์กในปีพ.ศ. 1878 แคว้นไทรอลได้ในปีพ.ศ. 1906 แคว้นเหล่านี้ได้กลายเป็นที่รู้จักกันในนาม "ดินแดนการสืบทอดของฮับส์บูร์ก"(the Habsburg Hereditary Lands)และส่วนมากจะเรียกกันอย่างกว้างขวางว่า ออสเตรีย
การครองราชย์ภายในเวลาอันสั้นของดยุครูดอล์ฟที่ 4 แห่งออสเตรีย พระอนุชาของพระองค์คือ ดยุคอัลเบิร์ตที่ 3 แห่งออสเตรียและดยุคลีโอโปลด์ที่ 3 แห่งออสเตรียได้ขัดแย้งกันและต้องลงสนธิสัญญานูเบิร์กในปีพ.ศ. 1922 ดยุคอัลเบิร์ตได้ครอบครองออสเตรียในขณะที่ดยุคลีโอโปลด์ครอบครองออสเตรียใน(Inner Austria)คือ สไทเรีย,คารินเทียและคานิโอลาในปีพ.ศ. 1945 มีการแตกแยกกันในสายลีโอโปลดิเนียน เมื่อดยุคเออร์เนสผู้โหดเหี้ยมยึดออสเตรียในและดยุคเฟรเดริกที่ 4 แห่งออสเตรียได้ครอบครองแคว้นไทรอลและออสเตรียไกล(Further Austria)แผ่นดินได้ถูกรวบรวมเป็นหนึ่งในสมัยพระโอรสของดยุคเออร์เนสคือ สมเด็จพระจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อสายอัลเบิร์ติเนียนและสายเอเดอร์ ไทรอลีนล่มสลาย
ในพ.ศ. 1981 ดยุคอัลเบิร์ตที่ 5 แห่งออสเตรียได้รับเลือกให้เป็น สมเด็จพระจักรพรรดิซิจิสมุนด์แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อจากพ่อตาของพระองค์ แต่ถึงแม้ว่าพระองค์จะเป็นพระจักรพรรดิแต่จักรพรรดิพระองค์อื่นเป็นพระราชวงศ์ฮับส์บูร์ก มีเพียงพระองค์เป็นพระองค์เดียวที่ไม่ใช่และได้รับการยกเว้น ราชวงศ์ฮับส์บูร์กได้ทำการรวบรวมดินแดน ในปีพ.ศ. 2020 อาร์คดยุคแม็กซิมิลเลียนพระโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิเฟรเดริกที่ 3ได้อภิเษกสมรสกับดัซเซสแมรีผู้ร่ำรวยทำให้ได้สิทธิในการครอบครองกลุ่มประเทศต่ำ พระโอรสของพระองค์เจ้าชายฟิลิปรูปงามได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งคาสตีลและอารากอนทำให้ได้สิทธิในการครอบครองกลุ่มประเทศสเปน อิตาลี แอฟริกาและทวีปโลกใหม่ แต่ในปีพ.ศ. 2063 สมเด็จพระจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ให้ดินแดนเหล่านี้แก่พระอนุชาคือสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ออสเตรียและการปฏิรูปศาสนา(พ.ศ. 2069 - พ.ศ. 2161)
ในปีพ.ศ. 2069 จากยุทธการโมเฮ็คส์ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 2 แห่งฮังการีผู้เป็นพระญาติของพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์สิ้นพระชนม์ในสมรภูมิ จักรพรรดิเฟอร์ดินานด์จึงทรงขยายอาณาเขตโดยรวมโบฮีเมียและส่วนหนึ่งของฮังการีที่ไม่ได้ถูกจักรวรรดิออตโตมันยึดครอง ราชวงศ์ฮับบูร์กได้ขยายอิทธิพลไปยังฮังการี อย่างไรก็ตามก็ทำสงครามกับเติร์กเรียกว่า สงครามสิบสามปีหรือสงครามยาว ตั้งแต่พ.ศ. 2136 - พ.ศ. 2149
ออสเตรียและเหล่าแคว้นสายราชวงศ์ฮับบูร์ก(ฮังการีและโบฮีเมีย)ได้รับผลกระทบอย่างมากในการปฏิรูปศาสนา แม้ว่าเหล่าผู้นำฮับบูร์กจะยังคงนับถือนิกายโรมันคาทอลิก แต่แคว้นต่างๆได้เปลี่ยนมานับถือลูเธอรัน ที่ซึ่งพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 และเหล่ารัชทายาทคือ พระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 2,พระจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2และพระจักรพรรดิแม็ทไธยัสทรงอดทนอดกลั้นต่อเรื่องนี้มาก
ในช่วงหลังศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตามการปฏิรูปย้อนกลับและลัทธิเยซูอิดไดมีอิทธิพลมากและการศึกษาของเยซูอิต อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ผู้ครองรัฐสติเรีย,อาณาจักรดยุคแห่งคารินเทียและคาร์นิโอลาได้เป็นพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงมีกำลังในการปราบปรามพวกนอกรีตในอาณาจักรที่ทรงปกครอง
ออสเตรียและสงครามสามสิบปี(พ.ศ. 2161 - พ.ศ. 2191)
ในพ.ศ. 2162 อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ได้รับเลือกให้สืบราชบัลลังก์พระจักรพรรดิต่อจากพระญาติคือ พระจักรพรรดิแม็ทไธยัส ด้วยความที่พระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 2ทรงเป็นผู้เคร่งในศาสนาอย่างแรงกล้าและดื้อรั้นทำให้ทรงเป็นที่รู้จักกันมาก พระองค์ทรงดำเนินการฟื้นฟูคาทอลิกไม่เพียงเฉพาะแคว้นรัชทายาทแต่โบฮีเมียและฮับบูร์กออสเตรียมีผู้นับถือโปรแตสแตนต์มากที่สุดในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทางนอกอาณาจักรทรงเป็นผู้แข็งกร้าวและไม่ประนีประนอมทรงนำพาอาณาจักรเข้าสู่สงครามสามสิบปีในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2161 ได้เกิดการแบ่งฝ่าย เป็นที่รู้ในการกบฎในโบฮีเมียหลังจากมีความเห็นขัดแย้งกัน พระองค์ได้ให้ความสะดวกแก่ชาวคาทอลิกไปที่ใดก็ได้ พระองค์ทรงกำหนดกฤษฎีกาแห่งการฟื้นฟูในปีพ.ศ. 2172 ซึ่งยุ่งยากแก่การปกครอง ความสัมพันธ์และการยืดเวลาออกไป พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในช่วงกลาง พระองค์ทรงมีพลังในการปลุกใจทหารดังเช่นในการปิดล้อมที่เม็กเดบูร์ก
เว็บไซต์อ้างอิง History of Austria: Primary Documents
*************************************
ประเทศออสเตรีย
ประเทศออสเตรีย หรือ สาธารณรัฐออสเตรีย (Republic of Austria) (ภาษาเยอรมัน: Österreich, ภาษาโครเอเชีย: Austrija, ภาษาฮังการี: Ausztria, ภาษาสโลวีเนีย: Avstrija) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในยุโรปกลาง มีอาณาเขตทางเหนือจรดประเทศเยอรมนีและสาธารณรัฐเช็ก ทางตะวันออกจรดสโลวาเกียและฮังการี ทางใต้จรดสโลวีเนียและอิตาลี และทางตะวันตกจรดสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ มีการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนภายใต้หลักการของรัฐสภา
การแบ่งเขตการปกครอง
ออสเตรียเป็นประเทศสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 9 รัฐ (states - Bundesländer) รัฐเหล่านี้แบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น เขต (districts - Bezirke) และ นคร (cities - Statutarstädte) ซึ่งในเขตแต่ละแห่งยังแบ่งออกเป็นเทศบาล (municipalities- Gemeinden)
รัฐทั้ง 9 แห่งของออสเตรีย ได้แก่
ประเทศออสเตรียในปัจจุบัน ตามแผนที่ประเทศออสเตรียมีความกว้างจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกมากกว่า 575 กิโลเมตร มีความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้มากกว่า 294 กิโลเมตร
ประมาณ 60% ของสภาพภูมิประเทศของประเทศออสเตรียมีลักษณะเป็นภูเขาและเนินเขา ซึ่งได้รับการขานนามให้เป็น "ดินแดนแห่งขุนเขา" ประเทศออสเตรียมีการพาดผ่านของเส้นทาง "แม่น้ำดานูบ (Donau)" โดยผ่านรัฐโลว์เออร์ออสเตรีย หรือ นีเดอเริสเทอร์ไรค์ (Lower Austria; Niederösterreich) และ รัฐอัปเปอร์ออสเตรีย หรือ โอเบอเริสเทอร์ไรค์ (Upper Austria; Oberösterreich) เพื่อไหลต่อไปยังสาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) ภูมิประเทศของประเทศออสเตรียแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
เป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในอุตสาหกรรม และวิสาหกิจหลัก เช่น อุตสาหกรรมขั้นปฐม การผลิตกระแสไฟฟ้า ธนาคาร และกิจการสาธารณูปโภค สาเหตุที่รัฐได้เข้ามาจัดการบริหารแบบรวมศูนย์ ก็เพื่อป้องกันการครอบครองจากโซเวียตภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ออสเตรียจึงเริ่มแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาดได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่สูง รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพรรคขวา ได้มีแผนที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจการของรัฐเพิ่มเติม อันจะทำให้รัฐบาลออสเตรียมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจลดลง และในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างแบบ Social Partnership ในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ได้ลดน้อยลงตามเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนไป รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจึงมีนโยบายชะลอการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง และเป็นที่คาดว่า จะมีนโนบายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปแบบ Social Partnership ต่อไป
การชุมนุมเรียกร้องการสถาปนาพระราชวงศ์ ณ ใจกลางกรุงเวียนนา การชุมนุมเรียกร้องในหัวข้อ 89 Jahre Republik Sind Genug!: 89ปี...มากพอแล้วสำหรับสาธารณรัฐเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 มีการชุมนุมเรียกร้องการฟื้นฟูสถาปนา พระราชวงศ์อิมพีเรียลออสเตรีย-ฮังการีขึ้น ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อเวลา 9 นาฬิกา ต่อมาเวลา 18 นาฬิกา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสถาปนาพระราชวงศ์อิมพีเรียลให้กลับมาครองบัลลังก์ และยังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในออสเตรีย และฮังการีอีกด้วย การชุมนุมนี้มีขึ้น ณ ใจกลางกรุงเวียนนา โดยมีหัวข้อชุมนุมเรียกร้องเป็นภาษาเยอรมันว่า 89 Jahre Republik Sind Genug! แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า 89 Years are enough for the Republic: 89 ปี...มากพอแล้วสำหรับการเป็นสาธารณรัฐ การชุมนุมของทั้ง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนในรัฐสภาทั้งในออสเตรียและฮังการี รวมทั้งประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศต่างหารือกันอีกด้วย ทั้งนี้ อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของทั้ง 2 ประเทศ และอาจมีแนวโน้มว่า พระราชวงศ์อิมพีเรียลอาจกับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง และพระองค์เองอาจมีโอกาสได้กลับมาครองราชย์ก็เป็นได้
ออตโต ฟอน ฮับส์บูร์ก และพระชายาออตโต ฟอน ฮับส์บูร์กทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงเรจิน่าแห่งแซ๊กซ์-ไมนินเจนและไฮด์บูรก์เฮาเซน ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรสและพระธิดารวม 7 พระองค์ และยังทรงมีพระราชนัดดารวมทั้งหมด 23 พระองค์
อาร์คดัชเชสแอนเดรียแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ทรงอภิเษกสมรสกับท่านเค้านท์คาร์ล ยูเจน แห่งไนปเปร์ก ทรงมีพระโอรส 3 พระองค์ พระธิดา 2 พระองค์ อาร์คดัชเชสโมนิก้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2497 ทรงอภิเษกสมรสกับ หลุยส์ เดอ คาซาโนวา คานดานาส์ ยี บารอน, ดยุคแห่งซานตาแองเจโล, มาเควสแห่งเอลเค้, เค้านท์แห่งโลโดซ่า, และแกรนด์ดีแห่งสเปน ซึ่งทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าหญิงหลุยส์ซ่า เทเรซาแห่งสเปน ทรงมีพระโอรส 4 พระองค์ อาร์คดัชเชสไมเคิลล่าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2497 ทรงเป็นพระขนิษฐาฝาแฝดกับอาร์คดัชเชสโมนิก้า ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกกับ เอริค เตรัน เดอ แอนติน ทรงมีพระโอรส 2 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ ภายหลังทรงหย่าและสมรสใหม่กับเค้านท์ฮัมเบอร์สแห่งคาเกเน็ค อาร์คดัชเชสกาเบรียลล่าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ทรงอภิเษกสมรสกับคริสเตียน เมสเตอร์ ภายหลังทรงหย่าเมื่อพ.ศ. 2540 มีพระโอรส 1 พระองค์ และพระธิดา 2 พระองค์ อาร์คดัชเชสวาร์ลบูก้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2500 ทรงอภิเษกสมรสกับท่านเค้าท์อาร์คิบาล์ด ดักลาส ทรงมีพระโอรส 1 พระองค์ อาร์คดยุคคาร์ล มกุฏราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี ทรงประสูติเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2504 ทรงอภิเษกสมรสกับ บารอนเนส ฟรานเซสก้าแห่งทิสเซน บอร์เนอมิสซา ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์ และพระโอรส 1 พระองค์ ดังนี้ อาร์คดัชเชสเอลีนอร์แห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2538 อาร์คดัชเชสกลอเรียแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542 สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย
สมเด็จพระจักรพรรดิ สมเด็จพระจักรพรรดินี อาร์คดัชเชสแอนเดรีย อาร์คดัชเชสโมนิก้า อาร์คดัชเชสไมเคิลล่า อาร์คดัชเชสกาเบรียลล่า อาร์คดัชเชสวาร์ลบูก้า อาร์คดยุคคาร์ล มกุฎราชกุมาร อาร์คดัชเชสฟรานเซสก้า มกุฏราชกุมารี อาร์คดัชเชสเอลีนอร์ อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ อาร์คดัชเชสกลอเรีย อาร์คดยุคจอร์ช อาร์คดัชเชสอีไลก้า อาร์คดัชเชสโซฟี อาร์คดัชเชสฮิลด้า อาร์คดยุคคาร์ล คอนสแตนติน จัดการ: แม่แบบ • พูดคุย • แก้ไข อาร์คดยุคจอร์ชแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2507 ทรงอภิเษกสมรสกับ ดัชเชสอีไลก้า เฮเลน จูทต้า เซเลเมนตีน แห่งโอลเดนเบอร์ก มีพระธิดา 2 พระองค์ และ พระโอรส 1 พระองค์ ดังนี้ อาร์คดัชเชสโซฟีแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2544 อาร์คดัชเชสฮิลด้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2545 อาร์คดยุคคาร์ล คอนสแตนตินแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2547
74.1% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 4.6% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์, ประชากรจำนวนประมาณ 180,000 คน นับถือนิกายคริสต์นิกายออโธด็อกส์, ประชากรจำนวนประมาณ 8,140 คนนับถือนิกายยิว, ประชากรจำนวนระหว่าง 15,000-338,998 คนนับถือศาสนาอิสลาม (ประเทศเริ่มมีศาสนาอิสลามมาตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1912) , ประชากรจำนวนมากกว่า 10,000 คนนับถือศาสนาพุทธ และประชากรจำนวน 20,000 คนเลือกที่จะไม่นับถือศาสนาใด ยึดหลักความเป็นกลาง (จากผลสำรวจในปีพุทธศักราช 2544 หรือปีคริสต์ศักราช 2001)
การแบ่งเขตการปกครอง
ออสเตรียเป็นประเทศสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 9 รัฐ (states - Bundesländer) รัฐเหล่านี้แบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น เขต (districts - Bezirke) และ นคร (cities - Statutarstädte) ซึ่งในเขตแต่ละแห่งยังแบ่งออกเป็นเทศบาล (municipalities- Gemeinden)
รัฐทั้ง 9 แห่งของออสเตรีย ได้แก่
- 1. รัฐบูร์เกนลันด์ (Burgenland) มีเมืองไอเซนชตัดท์ (Eisenstadt) เป็นเมืองหลวงของรัฐ
- 2. รัฐคารินเทีย หรือ แคร์นเทิน (Carinthia; Kärnten) มีเมืองคลาเกนฟูร์ท (Klagenfurt) เป็นเมืองหลวง
- 3. รัฐโลเออร์ออสเตรีย หรือ นีเดอเริสเทอร์ไรค์ (Lower Austria; Niederösterreich) มีเมืองซังคท์เพิลเทิน (St.Pölten) เป็นเมืองหลวง
- 4. รัฐอัปเปอร์ออสเตรีย หรือ โอเบอเริสเทอร์ไรค์ (Upper Austria; Oberösterreich) มีเมืองลินซ์ (Linz) เป็นเมืองหลวง
- 5. รัฐซาลซ์บูร์ก (Salzburg) มีเมืองซาลซ์บูร์ก เป็นเมืองหลวง
- 6. รัฐสติเรีย หรือ ชไตเออร์มาร์ค (Styria; Steiermark) มีเมืองกราซ (Graz) เป็นเมืองหลวง
- 7. รัฐทิโรล (Tirol) มีเมืองอินส์บรุค (Innsbruck) เป็นเมืองหลวง
- 8. รัฐโฟราร์ลแบร์ก (Vorarlberg) มีเมืองเบรเกนซ์ (Bregenz) เป็นเมืองหลวง
- 9. รัฐเวียนนา หรือ วีน (Vienna; Wien)
ภูมิศาสตร์
ประเทศออสเตรียในปัจจุบัน ตามแผนที่ประเทศออสเตรียมีความกว้างจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกมากกว่า 575 กิโลเมตร มีความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้มากกว่า 294 กิโลเมตร
ประมาณ 60% ของสภาพภูมิประเทศของประเทศออสเตรียมีลักษณะเป็นภูเขาและเนินเขา ซึ่งได้รับการขานนามให้เป็น "ดินแดนแห่งขุนเขา" ประเทศออสเตรียมีการพาดผ่านของเส้นทาง "แม่น้ำดานูบ (Donau)" โดยผ่านรัฐโลว์เออร์ออสเตรีย หรือ นีเดอเริสเทอร์ไรค์ (Lower Austria; Niederösterreich) และ รัฐอัปเปอร์ออสเตรีย หรือ โอเบอเริสเทอร์ไรค์ (Upper Austria; Oberösterreich) เพื่อไหลต่อไปยังสาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) ภูมิประเทศของประเทศออสเตรียแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
- ภูเขา (berge)
- ภูเขาสูงในประเทศออสเตรียมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 3,000 เมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศออสเตรียตั้งอยู่ทางเทือกเขาด้านตะวันออก (Ostalpen) ด้วยความสูง 3,798 เมตร มีชื่อว่า โกรสซ์กล็อกเนอร์ (Großglockner) ยอดเขาที่สูงรองลงมาคือ ไวล์ดชะปิทซ์ (Wildspitze) ด้วยความสูง 3,774 เมตร และยอดเขาที่สูงเป็นอันดับที่สามของประเทศออสเตรยคือ ไวสซ์กูเกิล (Weißkugel) ด้วยความสูง 3,738 เมตร ด้วยลักษณะของภูเขาเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกีฬาฤดูหนาว (Wintersport) ยกตัวอย่างเช่น สกี สโนว์บอร์ด เป็นต้น ส่วนในฤดูร้อน ก็ยังสามารถที่จะท่องเที่ยวชื่นชมสภาพป่า และการปีนเขา อีกด้วย
- ทะเลสาบ (Seen)
- ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรียมีชื่อว่า นอยซิดเลอร์ ซี (Neusiedler See) โดยมีพื้นที่ประมาณ 77% หรือประมาณ 315 ตารางกิโลเมตร อยู่ที่รัฐบูร์เกนลันด์ (Burgenland) ส่วนพื้นที่อีกประมาณ 33% ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของประเทศฮังการี และยังมีทะเลสาบอื่นๆ ที่มีความสำคัญคือ อาทเทอร์ซี (Attersee) ด้วยพื้นที่ประมาณ 46 ตารางกิโลเมตร และ ทรอนซี (Traunsee) อยู่ในพื้นที่รัฐ โอเบอเริสเทอร์ไรค์ (Upper Austria; Oberösterreich) และทะเลสาบอื่นๆ อีกมากมายที่มีความสำคัญมากสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน เช่น โบเดนซี (Bodensee) , ซาล์ซคามเมอร์กูทส์ (Salzkammerguts) , โวทเฮอร์ซี (Wörthersee) , มิลล์ชะเททเทอร์ ซี (Millstätter See) , ออสเซียเชอร์ ซี (Ossiacher See) , ไวส์เซ่นซี (Weißensee) , โมนด์ซี (Mondsee) , โวล์ฟกังซี (Wolfgangsee) เป็นต้น
- แม่น้ำ (Flüsse)
เศรษฐกิจ
เป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในอุตสาหกรรม และวิสาหกิจหลัก เช่น อุตสาหกรรมขั้นปฐม การผลิตกระแสไฟฟ้า ธนาคาร และกิจการสาธารณูปโภค สาเหตุที่รัฐได้เข้ามาจัดการบริหารแบบรวมศูนย์ ก็เพื่อป้องกันการครอบครองจากโซเวียตภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ออสเตรียจึงเริ่มแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาดได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่สูง รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพรรคขวา ได้มีแผนที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจการของรัฐเพิ่มเติม อันจะทำให้รัฐบาลออสเตรียมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจลดลง และในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างแบบ Social Partnership ในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ได้ลดน้อยลงตามเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนไป รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจึงมีนโยบายชะลอการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง และเป็นที่คาดว่า จะมีนโนบายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปแบบ Social Partnership ต่อไป
แนวโน้มการหวนคืนครองบัลลังก์
การชุมนุมเรียกร้องการสถาปนาพระราชวงศ์ ณ ใจกลางกรุงเวียนนา การชุมนุมเรียกร้องในหัวข้อ 89 Jahre Republik Sind Genug!: 89ปี...มากพอแล้วสำหรับสาธารณรัฐเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 มีการชุมนุมเรียกร้องการฟื้นฟูสถาปนา พระราชวงศ์อิมพีเรียลออสเตรีย-ฮังการีขึ้น ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อเวลา 9 นาฬิกา ต่อมาเวลา 18 นาฬิกา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสถาปนาพระราชวงศ์อิมพีเรียลให้กลับมาครองบัลลังก์ และยังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในออสเตรีย และฮังการีอีกด้วย การชุมนุมนี้มีขึ้น ณ ใจกลางกรุงเวียนนา โดยมีหัวข้อชุมนุมเรียกร้องเป็นภาษาเยอรมันว่า 89 Jahre Republik Sind Genug! แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า 89 Years are enough for the Republic: 89 ปี...มากพอแล้วสำหรับการเป็นสาธารณรัฐ การชุมนุมของทั้ง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนในรัฐสภาทั้งในออสเตรียและฮังการี รวมทั้งประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศต่างหารือกันอีกด้วย ทั้งนี้ อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของทั้ง 2 ประเทศ และอาจมีแนวโน้มว่า พระราชวงศ์อิมพีเรียลอาจกับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง และพระองค์เองอาจมีโอกาสได้กลับมาครองราชย์ก็เป็นได้
การอภิเษกสมรส
ออตโต ฟอน ฮับส์บูร์ก และพระชายาออตโต ฟอน ฮับส์บูร์กทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงเรจิน่าแห่งแซ๊กซ์-ไมนินเจนและไฮด์บูรก์เฮาเซน ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรสและพระธิดารวม 7 พระองค์ และยังทรงมีพระราชนัดดารวมทั้งหมด 23 พระองค์
อาร์คดัชเชสแอนเดรียแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ทรงอภิเษกสมรสกับท่านเค้านท์คาร์ล ยูเจน แห่งไนปเปร์ก ทรงมีพระโอรส 3 พระองค์ พระธิดา 2 พระองค์ อาร์คดัชเชสโมนิก้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2497 ทรงอภิเษกสมรสกับ หลุยส์ เดอ คาซาโนวา คานดานาส์ ยี บารอน, ดยุคแห่งซานตาแองเจโล, มาเควสแห่งเอลเค้, เค้านท์แห่งโลโดซ่า, และแกรนด์ดีแห่งสเปน ซึ่งทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าหญิงหลุยส์ซ่า เทเรซาแห่งสเปน ทรงมีพระโอรส 4 พระองค์ อาร์คดัชเชสไมเคิลล่าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2497 ทรงเป็นพระขนิษฐาฝาแฝดกับอาร์คดัชเชสโมนิก้า ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกกับ เอริค เตรัน เดอ แอนติน ทรงมีพระโอรส 2 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ ภายหลังทรงหย่าและสมรสใหม่กับเค้านท์ฮัมเบอร์สแห่งคาเกเน็ค อาร์คดัชเชสกาเบรียลล่าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ทรงอภิเษกสมรสกับคริสเตียน เมสเตอร์ ภายหลังทรงหย่าเมื่อพ.ศ. 2540 มีพระโอรส 1 พระองค์ และพระธิดา 2 พระองค์ อาร์คดัชเชสวาร์ลบูก้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2500 ทรงอภิเษกสมรสกับท่านเค้าท์อาร์คิบาล์ด ดักลาส ทรงมีพระโอรส 1 พระองค์ อาร์คดยุคคาร์ล มกุฏราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี ทรงประสูติเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2504 ทรงอภิเษกสมรสกับ บารอนเนส ฟรานเซสก้าแห่งทิสเซน บอร์เนอมิสซา ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์ และพระโอรส 1 พระองค์ ดังนี้ อาร์คดัชเชสเอลีนอร์แห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2538 อาร์คดัชเชสกลอเรียแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542 สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย
ตำแหน่งในนาม
พระราชวงศ์อิมพีเรียลแห่งออสเตรียสมเด็จพระจักรพรรดิ สมเด็จพระจักรพรรดินี อาร์คดัชเชสแอนเดรีย อาร์คดัชเชสโมนิก้า อาร์คดัชเชสไมเคิลล่า อาร์คดัชเชสกาเบรียลล่า อาร์คดัชเชสวาร์ลบูก้า อาร์คดยุคคาร์ล มกุฎราชกุมาร อาร์คดัชเชสฟรานเซสก้า มกุฏราชกุมารี อาร์คดัชเชสเอลีนอร์ อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ อาร์คดัชเชสกลอเรีย อาร์คดยุคจอร์ช อาร์คดัชเชสอีไลก้า อาร์คดัชเชสโซฟี อาร์คดัชเชสฮิลด้า อาร์คดยุคคาร์ล คอนสแตนติน จัดการ: แม่แบบ • พูดคุย • แก้ไข อาร์คดยุคจอร์ชแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2507 ทรงอภิเษกสมรสกับ ดัชเชสอีไลก้า เฮเลน จูทต้า เซเลเมนตีน แห่งโอลเดนเบอร์ก มีพระธิดา 2 พระองค์ และ พระโอรส 1 พระองค์ ดังนี้ อาร์คดัชเชสโซฟีแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2544 อาร์คดัชเชสฮิลด้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2545 อาร์คดยุคคาร์ล คอนสแตนตินแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2547
ประชากร
จากการสำรวจในปี 2549 ประเทศออสเตรียมีประชากรโดยประมาณ 8,260,000 คน อายุขัยเฉลี่ยของประชากรหญิงสูงกว่าประชากรชาย ประชากรหญิงออสเตรียมีอายุเฉลี่ย 82.1 ปี ส่วนประชากรชายออสเตรีย 76.4 ปี ในประเทศออสเตรียส่วนใหญ่ประชากรจะเป็นผู้สูงอายุ และเนื่องจากค่าครองชีพในประเทศออสเตรียอยู่ในอัตราสูงมาก จึงมีผลในการส่งผลให้อัตราการเกิดใหม่ของประชากรลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งอัตราการเกิดใหม่ของประชากรอยู่ที่ 0.45% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก
วัฒนธรรม
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ 73.6 คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ร้อยละ 4.7 มุสลิมร้อยละ 4.2 อื่นๆ ร้อย ละ 3.5 ไม่ระบุร้อยละ2 ไม่นับถือศาสนาร้อยละ 12
ศาสนา
74.1% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 4.6% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์, ประชากรจำนวนประมาณ 180,000 คน นับถือนิกายคริสต์นิกายออโธด็อกส์, ประชากรจำนวนประมาณ 8,140 คนนับถือนิกายยิว, ประชากรจำนวนระหว่าง 15,000-338,998 คนนับถือศาสนาอิสลาม (ประเทศเริ่มมีศาสนาอิสลามมาตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1912) , ประชากรจำนวนมากกว่า 10,000 คนนับถือศาสนาพุทธ และประชากรจำนวน 20,000 คนเลือกที่จะไม่นับถือศาสนาใด ยึดหลักความเป็นกลาง (จากผลสำรวจในปีพุทธศักราช 2544 หรือปีคริสต์ศักราช 2001)
ดนตรีในแต่ละยุคของออสเตรีย
ดนตรีของออสเตรียในยุคที่ศาสนาเจริญรุ่งเรือง คือ ช่วงยุคกลาง ซึ่งมีลักษณะเหมือนดนตรีในประเทศแถบยุโรป แต่หลังจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เพลงที่ร้องในโบสถ์ เช่น เพลงสวดเกรกอเรียน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอิตาลีก็แพร่หลายเข้ามา และในศตวรรษที่ 18โอเปราที่มาจากอิตาลีก็ได้รับความนิยมในพระราชวังเป็นอย่างมาก หลังจากศตวรรษที่ 18ออสเตรียก็โด่งดังเรื่องดนตรีตลอดช่วงระยะเวลากว่า 300ปี โดยเฉพาะช่วงกลางศตวรรษที่ 18จนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 วอลฟ์กัง อามาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart : ค.ศ. 1756-1791)ฟรันซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (franz Joseph Haydn : ค.ศ.1732-1809)ฟรันซ์ ชูแบร์ท (Franz schubert : ค.ศ.1797-1828)โยฮันน์ สเตราส์ที่1และ2 (Johann strauss 1 : ค.ศ.1804-1849,Johann strauss 2 : ค.ศ.1825-1899) ด้วยกันทั้งสิ้น ในยุคนี้ดนตรีคลาสสิกในบรรดาบทเพลง คอนเชอร์โต (Concerto) และซิมโฟนี (Symphony)ล้วนพัฒนาจากโซนาตา (Sonata)ทั้งสิ้น เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20กล่าวว่าคีตกวีชื่อ อาโนลด์ เชินแบร์ท เป็นผู้เริ่มดนตรีแบบไม่มีบันไดเสียงไดอาโทนิกและบันไดเสียงไมเนอร์ที่เป็นทฤษฎีพื้นฐานของบทเพลงแถบตะวันตก และหลังจากที่เชินแบร์กเสียชีวิต ลูกศิษย์ของเชินแบร์กได้พัฒนาแนวคิดและนำเสนอดนตรีแบใหม่โดยต้นกำเนิดจากทฤษฎีของเชินแบร์กที่ผสมผสานเสียงดนตรีคลาสสิกกับดนตรีพื้นบ้านของออสเตรียให้เกิดเสียงไพเราะที่ทำให้รู้สึกอิสระ นุ่มนวลและอบอุ่น
*******************************
สาธารณรัฐออสเตรีย
Republic of Austria
ข้อมูลทั่วไป
Republic of Austria
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ในบริเวณยุโรปกลาง ทิศเหนือติดกับสาธารณรัฐเช็ก และเยอรมนี ทิศตะวันออกติดกับฮังการี และสาธารณรัฐสโลวัก ทิศตะวันตกติดกับสวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ทิศใต้ติดกับสโลวีเนีย และอิตาลี
พื้นที่ 83,871 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง กรุงเวียนนา
ประชากร 8.35 ล้านคน ประกอบด้วยชาวออสเตรียนร้อยละ 91.1 ชาวอดีตยูโกสลาฟ (โครแอต สโลวีน เซิร์บและบอสเนียน)ร้อยละ 4 ชาวเติร์กร้อยละ 1.6 ชาวเยอรมันร้อยละ 0.9
ภูมิอากาศ ภูมิอากาศอบอุ่นแบบภาคพื้นทวีป ในฤดูหนาวมีฝนตกบ่อยและมีหิมะปกคลุมในแถบภูเขา ในฤดูร้อนมีอากาศอบอุ่นและมีฝนโปรยในบางครั้ง
ภาษา เยอรมัน
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ 73.6 คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ร้อยละ 4.7 มุสลิมร้อยละ 4.2 อื่นๆ ร้อย ละ 3.5 ไม่ระบุร้อยละ2 ไม่นับถือศาสนาร้อยละ 12
หน่วยเงินตรา ยูโร โดย 1 ยูโร = 47.15 บาท (20 ม.ค. 2553)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 415.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2551)
รายได้ประชาชาติต่อหัว 49,748.5 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี2551)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 1.6 (ปี 2551)
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3.2 (ปี 2551)
ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ เป็นระบบสองสภา โดยมีประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้งเป็นประมุขดำรงตำแหน่งวาระละ 6 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้แก่ นาย Heinz Fischer นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้แก่ นาย Werner Faymann
สมาชิกองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญ EBRD, EU, FAO, IAEA, IBRD, ILO, IMF, Interpol, NAM (guest), OECD, OSCE, UN, UNCTAD, UNESCO, UNHCR, UNIDO, WEU (observer), WHO, WTO, WtoO (World Tourism Organisation)
พื้นที่ 83,871 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง กรุงเวียนนา
ประชากร 8.35 ล้านคน ประกอบด้วยชาวออสเตรียนร้อยละ 91.1 ชาวอดีตยูโกสลาฟ (โครแอต สโลวีน เซิร์บและบอสเนียน)ร้อยละ 4 ชาวเติร์กร้อยละ 1.6 ชาวเยอรมันร้อยละ 0.9
ภูมิอากาศ ภูมิอากาศอบอุ่นแบบภาคพื้นทวีป ในฤดูหนาวมีฝนตกบ่อยและมีหิมะปกคลุมในแถบภูเขา ในฤดูร้อนมีอากาศอบอุ่นและมีฝนโปรยในบางครั้ง
ภาษา เยอรมัน
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ 73.6 คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ร้อยละ 4.7 มุสลิมร้อยละ 4.2 อื่นๆ ร้อย ละ 3.5 ไม่ระบุร้อยละ2 ไม่นับถือศาสนาร้อยละ 12
หน่วยเงินตรา ยูโร โดย 1 ยูโร = 47.15 บาท (20 ม.ค. 2553)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 415.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2551)
รายได้ประชาชาติต่อหัว 49,748.5 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี2551)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 1.6 (ปี 2551)
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3.2 (ปี 2551)
ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ เป็นระบบสองสภา โดยมีประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้งเป็นประมุขดำรงตำแหน่งวาระละ 6 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้แก่ นาย Heinz Fischer นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้แก่ นาย Werner Faymann
สมาชิกองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญ EBRD, EU, FAO, IAEA, IBRD, ILO, IMF, Interpol, NAM (guest), OECD, OSCE, UN, UNCTAD, UNESCO, UNHCR, UNIDO, WEU (observer), WHO, WTO, WtoO (World Tourism Organisation)
การเมืองการปกครอง
ประวัติศาสตร์ออสเตรียโดยสังเขป
ก่อนปลายศตวรรษที่ 8 ดินแดนซึ่งเป็นประเทศออสเตรียในปัจจุบัน ได้มีชนชาติต่างๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ที่สำคัญได้แก่ ชนเผ่าเยอรมัน ซึ่งได้ข้ามแม่น้ำดานูบลงมาทางใต้ และชาวสลาฟซึ่งได้อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของออสเตรีย จนสิ้นสุดศตวรรษที่ 8 กษัตริย์ Charlemagne ได้ก่อตั้งเขตชายแดนระหว่างแม่น้ำอินส์ แรบ และดราวา เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันการรุกรานของชาวเอวาร์ และภายหลังจากที่ชาวโรมันได้อพยพออกไป นักบวชชาวไอริชและสก็อตจึงได้เข้ามาเผยแพร่คริสตศาสนาในดินแดนบริเวณเทือกเขาอัลไพน์แห่งนี้ ราชวงศ์ Babenberg ของชาวบาวาเรียนได้เข้าปกครองออสเตรียในปี ค . ศ . 976 ซึ่งยังมีประชาชนอยู่เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษต่อๆ มา ราชวงศ์ Babenberg ได้ใช้ยุทธศาสตร์สร้างความแข็งแกร่งให้แก่อาณาจักร และขยายประเทศไปอย่างกว้างขวาง ภายหลังจากที่ราชวงศ์ Babenberg ได้หมดอำนาจลงในกลางศตวรรษที่ 13 ราชวงศ์ Habsburg ได้เข้ามามีอำนาจในดินแดนนี้แทน และขยายอาณาเขตออกไปจนถึงแถบประเทศสเปน จนกระทั่ง ในปี 1522 ราชวงศ์ Habsburg จึงได้แตกออกเป็นสายออสเตรีย และสายสเปน อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ Habsburg ยังคงขยายอาณาเขตต่อไป โดยในปี ค . ศ . 1526 ได้ผนวกดินแดนโบฮีเมียและฮังการี เข้าไว้ด้วย ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 ออสเตรียต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรออตโตมัน แต่โดยที่ออสเตรียสามารถเอาชนะกองทัพของอาณาจักรออตโตมันได้ ออสเตรียจึงได้ครอบครองดินแดนเพิ่มขึ้น และกลายเป็นมหาอำนาจรายหนึ่งในยุโรป ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 จักรพรรดินีมาเรีย เธเรซา และโจเซฟ ที่สอง ได้ทำการปฏิรูป และวางรากฐานการปฏิรูปการบริหารจัดการของรัฐให้ทันสมัย แต่การปฏิวัติฝรั่งเศสและสงครามนโปเลียน ได้ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้นเปลี่ยนไป นอกจากนี้ หลังจากที่อิตาลีได้ก่อตั้งขึ้นเป็นประเทศ ราชวงศ์ฮับสบรูกส์ต้องต้องยินยอมต่อการเคลื่อนไหวของนักชาตินิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในปี ค . ศ . 1867 จักรพรรดิฟรันซ์ โจเซฟ จึงได้ยอมตั้งราชวงศ์ร่วม (double monarchy) ออสเตรีย - ฮังการี ราชวงศ์ออสเตรีย - ฮังการี เป็นผู้เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี ค . ศ . 1914-1918 อันมีสาเหตุเนื่องมากจากการลอบสังหารเจ้าชาย Francis-Ferdinand ซึ่งเป็นทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย - ฮังการี โดยนักชาตินิยมชาวเซิร์บ โดยออสเตรียเป็นฝ่ายแพ้สงคราม และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ออสเตรียจึงได้ประกาศตัวเป็นสาธารณรัฐ แต่ในขณะนั้น ออสเตรียมิได้มีอำนาจดังเช่นในอดีตแล้ว ในปี ค . ศ . 1938 ออสเตรียถูกกดดันจากเยอรมนีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ และประสบกับภาวะการขาดเสถียรภาพภายในประเทศในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่ง ในปี ค . ศ . 1945 เมื่อสงคราม โลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ประเทศพันธมิตรได้ช่วยออสเตรียให้ฟื้นตัวขึ้นสู่ความเป็นประเทศสาธารณรัฐอีกครั้ง แต่ออสเตรียยังคงถูกยึดครองโดยกองทัพฝรั่งเศส อังกฤษ สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาจนถึงปี 1955 ซึ่งได้มีการลงนามในสนธิสัญญาประเทศออสเตรีย และในปีเดียวกัน รัฐสภาออสเตรียได้ออกกฎหมายให้ออสเตรียเป็นประเทศที่มีสถานะเป็นกลางอย่างถาวร รวมทั้งได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติด้วย ออสเตรียได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค . ศ . 1995 และได้เป็นประธานสภาสหภาพยุโรปเป็นครั้งแรกในครึ่งหลังของปี ค . ศ . 1995.
การเมืองการปกครอง
ออสเตรียปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี และอาจดำรงตำแหน่งต่ออีกวาระ ประธานาธิบดีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากหัวหน้าพรรคที่ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงข้างมากในสภาเพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี รัฐสภาประกอบด้วยสภาล่าง (Nationalsrat) มีสมาชิก 183 คน ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก 4 ปี และสภาสูง (Bundesrat) มีสมาชิก 64 คน ได้รับเลือกตั้งจากสภาจังหวัด (Provincial Diet)
ออสเตรียแบ่งเขตการปกครองเป็น 9 จังหวัด (federal province) ได้แก่ Lower Austria, Upper Austria, Salzburg, Styria, Carinthia, Tirol, Vorarlberg, Burgenland และ Vienna ซึ่งมีสถานะเป็นมหานคร แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองเป็นอิสระยกเว้นการต่างประเทศและการป้องกันประเทศ แต่ละจังหวัดมี Governor ซึ่งได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร
พรรคการเมืองออสเตรีย
ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ออสเตรียเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมาโดยตลอด โดยมีพรรคการเมืองที่สำคัญดังนี้คือ
พรรค Austrian People's Party- ÖVP เป็นพรรคใหญ่ และเคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรค Social Democratic Party - SPÖ มา 3 สมัย ก่อนที่จะหันมาร่วมมือกับพรรค Alliance for the Future of Austria (BZ) ที่ได้แยกตัวออกมาจากพรรค Freedom Party-FPÖ ในเดือนเมษายน 2548 มีนาย Wolfgang Schüssel เป็นหัวหน้าพรรค
พรรค Social Democratic Party - SPÖ เป็นพรรคใหญ่ที่สุดของออสเตรีย และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ทศวรรษ 60 ในการเลือกตั้งในปี 2543 พรรค SPÖ ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดแต่ไม่สามารถโน้มน้าวพรรคอื่นร่วมจัดตั้งรัฐบาล จึงต้องกลับเป็นฝ่ายค้าน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันสังกัดพรรคการเมืองนี้
พรรค Alliance for the Future of Austria - BZÖ เป็นพรรคที่แยกตัวออกมาจากพรรค FPO นำโดยนาย Jörg Haider
พรรค Freedom Party - FPÖ เป็นพรรคที่มีแนวนโยบายขวาจัด ปัจจุบัน นาย Herbert Haupt ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
พรรค Greens เป็นพรรคฝ่ายค้าน มีนโยบายอนุรักษ์นิยม
นอกจากนี้ ยังมีพรรคการเมืองอื่นๆ อีก อาทิ พรรคคอมมิวนิสต์ พรรค Liberal Reform พรรค Democrats พรรค Christian Election Community และ พรรค Socialist Left แต่ไม่คะแนนมีเสียงที่จะมีที่นั่งในสภา
สถานการณ์ทางการเมือง
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 รัฐสภาออสเตรียได้ลงมติที่จะไม่จัดทำการลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญสหภาพยุโรป ตามที่ชาวออสเตรีย 5,000 คน เข้าชื่อเรียกร้อง แต่มีการลงคะแนนเสียงของรัฐสภาแทนเพื่อให้สัตยาบันต่อรัฐธรรมนูญสหภาพยุโรปในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2548 ทั้งนี้ มีเพียงหนึ่งเสียงเท่านั้นจาก183 เสียงที่ไม่สนับสนุนรัฐธรรมนูญสหภาพยุโรป
ออสเตรียได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2549 ซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งกว่าร้อยละ 74 พรรค SPÖ ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดคิดเป็น 68 ที่นั่ง จากทั้งหมด 183 ที่นั่งในสภา (ร้อยละ 35.3) ตามมาด้วยพรรค ÖVP) ได้ 66 ที่นั่ง (ร้อยละ 34.3) ถัดมาได้แก่พรรค Green 21 ที่นั่ง (ร้อยละ 11.0) พรรค Freedom Party (FPÖ) 21 ที่นั่ง (ร้อยละ 11.0) พรรค Alliance for the Future of Austria (BZÖ) 7 ที่นั่ง (ร้อยละ 4.1) ผลการเลือกตั้งได้พลิกความคาดหมาย โดยผลการสำรวจชี้ว่าพรรค ÖVP ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนภายหลังจากการเลือกตั้งพรรค SPÖ และ ÖVP ได้เข้าสู่การเจรจาต่อรองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และได้มีความคืบหน้าในข้อตกลงบางเรื่อง เช่น การปฏิรูปค่าธรรมเนียมการศึกษา โดยนักศึกษาที่อาสาเข้าทำงานช่วยเหลือสังคมเป็นเวลา 60 ชม. ต่อภาคการศึกษาจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษา นอกจากนี้ รัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณสำหรับการศึกษาและการวิจัย รวมทั้งงบประมาณสนับสนุนระบบประกันความมั่นคงทางสังคม เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของออสเตรียในเวทีนานาชาติ ลดอัตราการว่างงาน ในด้านการต่างประเทศ ยังคงนโยบายการต่างประเทศที่เป็นกลาง และจะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนนโยบายด้านความมั่นคงของสหภาพยุโรป รวมทั้งไม่สนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของตุรกี นอกจากนี้เป็นที่คาดการณ์ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นาย Gusenbauer จะชะลอกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง ทั้งนี้ ระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีประชาชนกว่า 2,000 คนประท้วงรัฐบาล ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสังคมนิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบ Grand Coalition โดยนักศึกษาส่วนหนึ่งและแกนนำสหพันธ์สหภาพการค้าที่เป็นฐานเสียงของพรรคสังคมนิยมไม่เห็นด้วยกับพรรค SPÖ ที่โอนอ่อนให้พรรคอนุรักษ์นิยมได้คุมกระทรวงสำคัญ อีกทั้งไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ก่อนการเลือกตั้งว่าจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
การจัดสรรตำแหน่งในรัฐบาลมีดังต่อไปนี้ พรรค SPÖ บริหารกระทรวงกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษา กระทรวงยุติธรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงการสังคม กระทรวงกีฬา ส่วนนาย Wolfgang Schüssel อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่รับตำแหน่งในรัฐบาลและสละตำแหน่งหัวหน้าพรรค ÖVP ให้แก่นาย Wilhelm Molterer ซึ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ พรรค ÖVP คุมกระทรวงอื่นๆ อีก ดังต่อไปนี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจและแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม นาง Ursula Plassnik จากพรรค ÖVP ยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเช่นในรัฐบาลชุดที่แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลจะจัดตั้งกระทรวงสตรี (ÖVP) และกระทรวงวิทยาศาสตร์ (SPÖ) เพิ่ม
นโยบายต่างประเทศออสเตรีย
1. หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตได้บีบให้ออสเตรียประกาศนโยบายเป็นกลางเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่สหภาพโซเวียตจะถอนทหารออกจากออสเตรีย ทำให้ออสเตรียยึดหลักดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบเป็นกลางมาโดยตลอด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อออสเตรียเอง เนื่องจากเป็นหลักประกันว่าออสเตรียจะไม่ต้องไปเกี่ยวพันในสงครามและความหายนะจากสงครามดังเช่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
2. อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา ได้ลงนาม ในสนธิสัญญา State Treaty of Vienna เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2498 เพื่อรับรองฐานะความเป็นกลางถาวรของออสเตรีย และออสเตรียได้ประกาศความเป็นกลางของประเทศไว้เป็นการถาวรในรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2498 ซึ่งทำให้ออสเตรียไม่สามารถร่วมเป็นพันธมิตรทางทหาร หรืออนุญาตให้ทหารต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพในดินแดนออสเตรียได้ รัฐบาลออสเตรียทุกสมัยจึงยึดถือนโยบายเป็นกลางถาวรเป็นพื้นฐานในการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับประเทศต่างๆ ในลักษณะที่เรียกกันว่า active neutrality โดยให้ความ ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในปฏิบัติการรักษาสันติภาพตั้งแต่ปี 2503 และร่วมมือในการรักษาเสถียรภาพยุโรปในกรอบของคณะมนตรียุโรปและองค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือแห่งยุโรป (OSCE)
3. ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติในยุโรปในช่วงหลังสงครามเย็นได้ส่งผลให้ออสเตรียเริ่มปรับนโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงไปในทิศทางที่มีบูรณาการกับประเทศยุโรปอื่นๆ มากขึ้น เนื่องจากออสเตรียเริ่มยอมรับว่า ความพยายามร่วมกันของประเทศต่างๆ ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในกรอบพหุภาคีเป็นแนวโน้มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
การปราบปรามผู้ก่อการร้าย และในการระงับการแพร่หลายของอาวุธที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษยชาติ (weapons of mass destruction) อย่างไรก็ตาม ออสเตรียก็ยังคงยึดถือนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
4. นับแต่ปี 2538 ออสเตรียได้เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ใน Western European Union และ เข้าร่วมโครงการ Partnership for Peace ขององค์การนาโต้ โดยจำกัดบทบาทเฉพาะด้านปฏิบัติการรักษาสันติภาพและการให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและการบรรเทาภัยพิบัติ 5. นอกจากนี้ การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 ทำให้ออสเตรียมีบทบาทและนโยบายที่จะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการกำหนดสถานะทางการเมืองของยุโรป และได้ให้การสนับสนุนนโยบายบูรณาการระหว่างประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้งในด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง และด้านนโยบายต่างประเทศ
6. ออสเตรียสนับสนุนให้สหภาพยุโรปขยายตัวไปครอบคุลมกลุ่มประเทศอดีตสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก โดยที่ออสเตรียมีพรมแดนติดกับสาธารณรัฐเช็ก สโลวีเนีย และฮังการี ซึ่งได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในเดือนพฤษภาคม 2547 และมีมูลค่าการค้ากับกลุ่มประเทศเหล่านี้สูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศยุโรปอื่นๆ ออสเตรียจึงเป็นประเทศที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการขยายสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาการส่งออกของออสเตรียไปยังสาธารณรัฐเช็ก สโลวีเนีย และฮังการีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 250
7. นอกจากโครงสร้างร่วมของยุโรปด้านความมั่นคง การใช้แนวทางที่รวดเร็วในการสนับสนุนให้ประเทศยุโรปกลางและตะวันออกเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปแล้ว ออสเตรียยังให้ความสำคัญต่อการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรปให้สูงขึ้น การแก้ไขปัญหาการว่างงานในยุโรป การปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิชนกลุ่มน้อย และความโปร่งใสและความพร้อมในการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน
8. สำหรับภูมิภาคอื่นๆ นอกเหนือจากยุโรป ออสเตรียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศมหาอำนาจที่มีบทบาทในประเด็นระหว่างประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา โดยเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางนั้น ออสเตรีย มีนโยบายส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศอาหรับบางประเทศ และอิสราเอล โดยเน้นที่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
9. ในกรอบพหุภาคี ออสเตรียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ โดยคำนึงถึงบทบาทของออสเตรียในฐานะที่เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง อาทิ IAEA, UNIDO, OSCE, UNDCP, UNODC, CND และระหว่างปี 2009-2010 ออสเตรียได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวร UNSC
10. ออสเตรียเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้ง Human Security Network และได้มีบทบาทอย่างแข็งขันมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญกับการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก การให้ความช่วยเหลือเด็กที่บอบช้ำจาก Armed Conflict การปราบปรามยาเสพติด การจำกัดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ และการยับยั้งการแพร่กระจายอาวุธ
11. ในปัจจุบัน รัฐบาลผสม Grand coalition ให้ความสำคัญกับประเด็นการขยายสมาชิกภาพของ EU และการย้ายถิ่นฐาน โดยจะสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิก EU ของประเทศในคาบสมุทรบอลข่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครเอเชิย และไม่สนับสนุนการให้ตุรกีเข้าเป็นสมาชิก EU แต่เสนอให้ EU และตุรกีเป็น tailored partnership ระหว่างกัน ออสเตรียมีนโยบายต่างประเทศเป็นกลาง ได้มีการส่งทหารเข้าร่วมกองกำลังของ NATO ซึ่งเป็นไปเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคง อาทิ การสนับสนุนกำลังทหารในส่วน International Security Assistance Force (ISAF) ออสเตรียส่งเสริมบทบาทของ EU ในเวทีนานาชาติ โดยมีส่วนร่วมในการพัฒนา European Security and Defence Policy
12. ในด้านการให้ความช่วยเหลือต่อประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมาในปี พ.ศ. 2548 ออสเตรียได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของรายได้ประชาชาติ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีต่อๆ ไป
เศรษฐกิจการค้า
โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจออสเตรีย
ออสเตรียนับเป็นรัฐสวัสดิการทีมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่งคั่ง และมีความก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่ง ในปี 2550 ออสเตรียมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 13 ของโลก และในปี 2548 ออสเตรียมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวมากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของสมาชิกสหภาพยุโรป โดยคิดเป็น 37,457 USD ซึ่งจัดอยู่ในลำดับที่ 6 ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาภาคบริการ (สัดส่วนการจ้างงานในภาคบริการคิดเป็น 1 ใน 3 ของการจ้างงานทั้งหมด) และการผลิตภาคอุตสาหกรรม (สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 31 ของ GDP) เป็นสำคัญ ส่วนภาคเกษตรกรรม มีผลผลิตค่อนข้างน้อยและมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในปี 2538 ออสเตรียได้ปฏิรูปด้านการเกษตรภายใต้นโยบายทางการเกษตรร่วมของสหภาพยุโรป และในปัจจุบัน เกษตรกรออสเตรียสามารถผลิตอาหารได้ร้อยละ 80 ของการบริโภคในประเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2 ของ GDP จุดแข็งของเศรษฐกิจออสเตรียอยู่ที่ ภาคบริการ การอำนวยความสะดวกด้านการพาณิชย์ การธนาคาร อุตสาหกรรม และการคมนาคม ทรัพยากรที่สำคัญของออสเตรียคือ แหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและเชิงวัฒนธรรม และแรงงานมีฝีมือ โดยความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเป็นไปแบบ Social Partnership ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่น ในภาคอุตสาหกรรมจะเน้นการผลิตสินค้าแปรรูปจากเหล็ก โลหะ กระดาษ เครื่องยนต์และส่วนประกอบ ภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับ low- and medium -tech อย่างไรก็ตามการวิจัยและพัฒนามีความต่อเนื่อง (สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 2.4 ในปี 2548 จากเดิม ร้อยละ 1.4 ในปี 2533) และอยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ยของสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งสะท้อนเหตุผลว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ออสเตรียได้เริ่มลงทุนในอุตสาหกรรมระดับ high-tech ในตลาดเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และด้วยความที่เป็นหน่วยเศรษฐกิจขนาดเล็ก ออสเตรียจึงพึ่งพาภาคส่งออกเพื่อเป็นการขยายขนาดเศรษฐกิจ มูลค่าการส่งออกในปี 2548 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของ GDP (จากเดิมร้อยละ 32.1 ในปี 2538) ออสเตรียมีบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี และได้รับผลประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของออสเตรีย คือ การขยายการค้าและการลงทุนในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก โดยมูลค่าการค้าระหว่างออสเตรียกับประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกมีมูลค่าถึงร้อยละ 15 ของมูลค่าการค้าทั้งหมด บริษัทออสเตรีย ได้มีการลงทุนขนาดใหญ่มากมายในตลาดเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่ต้องใช้แรงงานมีฝีมือจำนวนมากโดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีระดับสูง นอกจากนี้ ออสเตรียยังมีศักยภาพที่จะดึงดูดการลงทุนจากบริษัทของประเทศในสหภาพยุโรป ที่ต้องการเข้าถึงตลาดยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก
ระบบเศรษฐกิจออสเตรีย
เป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในอุตสาหกรรม และวิสาหกิจหลัก เช่น อุตสาหกรรมขั้นปฐม การผลิตกระแสไฟฟ้า ธนาคาร และกิจการสาธารณูปโภค สาเหตุที่รัฐได้เข้ามาจัดการบริหารแบบรวมศูนย์ ก็เพื่อป้องกันการครอบครองจากโซเวียตภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ออสเตรียจึงเริ่มแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาดได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่สูง รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพรรคขวา ได้มีแผนที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจการของรัฐเพิ่มเติม อันจะทำให้รัฐบาลออสเตรียมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจลดลง และในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างแบบ Social Partnership ในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ได้ลดน้อยลงตามเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนไป รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจึงมีนโยบายชะลอการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง และเป็นที่คาดว่า จะมีนโนบายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปแบบ Social Partnership ต่อไป
การค้าระหว่างประเทศ
ออสเตรียเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 ซึ่งออสเตรียได้ประสบความสำเร็จในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และการเข้าเป็นสมาชิก the Economic and Monetary Union (EMU) ได้ส่งผลให้ออสเตรียมีบูรณาการเพิ่มขึ้นกับตลาด EU โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเยอรมนี ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2545 ออสเตรียได้เริ่มใช้เงินสกุลยูโรทดแทนเงินชิลลิ่งในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้วิเคราะห์และลงความเห็นว่า การใช้เงินสกุลยูโรมีผลดีต่อเศรษฐกิจของออสเตรียโดยรวม
การค้าระหว่างออสเตรียกับประเทศสมาชิก EU คิดเป็นร้อยละ 84 ของมูลค่าการค้ารวม นอกจากนี้ เมื่อประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกได้เข้าเป็นสมาชิก EU เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 ออสเตรียถือเป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสมาชิก EU ใหม่มากที่สุด และส่งผลให้ออสเตรียขยายการค้าและการลงทุนไปสู่ประเทศเหล่านั้น โดยเน้นสาขาการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น และใช้เทคโนโลยีแบบ low-tech ในปัจจุบัน ออสเตรียนับเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงที่จะดึงดูดบริษัทในยุโรปตะวันตกที่แสวงหาฐานที่มีความเอื้ออำนวยต่อการเข้าสู่ตลาดกำลังพัฒนาในประเทศยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออก และประเทศในภูมิภาคบอลข่าน
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐออสเตรีย
การสถาปนาความสัมพันธ์
ไทยกับออสเตรียมีความสัมพันธ์ด้านกงสุลตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กงสุลออสเตรียคนแรกคือนาย Alexius Redlich และออสเตรียยังเป็นประเทศแรกๆ ที่ส่งผู้แทนทางการทูตมาประจำประเทศไทยก่อนหน้าประเทศตะวันตกอื่น ๆ โดยในปีพ.ศ. 2410 จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 (Franz Joseph I) แห่งจักรวรรดิ์ออสโตร-ฮังการี ได้ส่งคณะทูตมาไทยเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทั้งสองประเทศได้จัดทำสนธิสัญญาไมตรี การค้า และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and Navigation) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2412 ต่อมาออสเตรียได้ส่งผู้แทนทางการทูตมาประจำประเทศไทยในปี พ.ศ. 2421
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยและออสเตรียได้ตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันในระดับอัครราชทูต เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 ซึ่งต่อมาได้ยกสถานะเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อปี พ.ศ. 2506 โดยมี พลจัตวา ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นเอกอัครราชทูตไทยคนแรกประจำกรุงเวียนนา สำหรับเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนาคนปัจจุบันคือ นางนงนุช เพ็ชรรัตน์ ส่วนเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยคนปัจจุบันคือ นายโยฮันเนส เปเทอร์ลิค (Johannes Peterlik)
ปัจจุบัน ไทยได้แต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเมืองซาลส์บูร์ก เมืองดอร์นบีร์น และเมืองอินส์บรุค ส่วนออสเตรียได้เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีอำนาจดูแลพื้นที่จังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี พังงา กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดเชียงใหม่ มีเขตอาณาครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองพัทยา
ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ด้านการค้า
ในปี 2552 ไทยและออสเตรียมีมูลค่าการค้ารวม 406.57 ล้านดอลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 176 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 230.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยขาดดุลการค้า 54.57 ล้านดออลลาร์สหรัฐ มูลค่าการค้ารวมลดลงคิดเป็นร้อยละ 34.61 จากปีก่อนหน้า ออสเตรียนับเป็นคู่ค้าลำดับที่ 48 ของไทย และเป็นลำดับที่ 12 ในกลุ่มคู่ค้าจากประเทศในสหภาพยุโรป ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับออสเตรียส่วนใหญ่ต้องส่งผ่านเยอรมนี ทำให้มีต้นทุนการขนส่งสินค้าที่สูง เนื่องจากออสเตรียไม่มีเขตติดต่อทางทะเล
สินค้าที่ไทยส่งออก
อัญมณีและเครื่องประดับ คอมพิวเตอร์ เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว ยานพาหนะและส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องยกทรง รัดทรงและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ถุงมือยาง ยางพารา เสื้อผ้าสำเร็จ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป แผงวงจรไฟฟ้า ผ้าผืนและด้าย ผลิตภัณฑ์พลาสติก
สินค้าที่ไทยนำเข้า
เครื่องจักรและส่วนประกอบ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ กระจก แก้วและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติก เครื่องเพชรพลอย อัญมณี อาวุธ ยุทธปัจจัย เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะ และเศษโลหะ
กลไกด้านการค้าระหว่างไทยและออสเตรีย ได้แก่ คณะทำงานร่วมทางการค้าไทย – ออสเตรีย จัดตั้งเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2532 จัดการประชุมแล้ว 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายจัดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 ที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูต. ณ กรุงเวียนนา ได้ร่วมกับภาคเอกชนออสเตรีย จัดตั้ง Business Club ขึ้น เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2547 เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างสอท.ฯ กับนักธุรกิจออสเตรีย และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า การลงทุนระหว่างกัน
ความสัมพันธ์ด้านการลงทุน
การลงทุนของออสเตรียในประเทศไทยที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน มี 30 โครงการ มูลค่าการลงทุนประมาณ 6,778.6 ล้านบาท การลงทุนของออสเตรียที่มีหลายโครงการ และมีการขยายโครงการมาโดยตลอด ได้แก่ โครงการร่วมลงทุนของบริษัทศรีตรัง อินดัสตรี จำกัด ในจังหวัดสงขลา ร่วมกับบริษัทเซมเพอริท เทคนิคโปรดักส์ จำกัดของออสเตรีย จัดตั้งบริษัทในประเทศไทยในชื่อ บริษัทสยามเซมเพอร์เมด จำกัด ผลิตถุงมือยาง มี 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 3,744.4 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีบริษัทเซมเพอฟอร์ม แปซิฟิก จำกัด ได้รับการส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 192.5 ล้านบาท ผลิตสินค้าจากยาง และชิ้นส่วนพลาสติกนอก และบริษัทคริสตัล Swarovsky ได้ตั้งโรงงานเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่บางพลี สำหรับปี 2551 มีการลงทุนจากออสเตรียจำนวน 3 โครงการ มูลค่า 271 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบริษัทผลิตหลอดแก้วสำหรับบรรจุเลือด บริษัทผลิตชุดชั้นในสตรี และบริษัท Swarovski เป็นต้น
ความสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวชาวออสเตรีย และในทางกลับกัน ออสเตรียเป็นประเทศเป้าหมายแรกๆ ในสหภาพยุโรปของนักท่องเที่ยวไทย ในปี 2551 มีนักท่องเที่ยวออสเตรียเดินทางมาไทยรวมทั้งสิ้น 80.404 คน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรียคิดเป็นลำดับที่ 12 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดจากสหภาพยุโรป สายการบิน Austrian Airlines Group (AUA) ได้เลือกประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และมีเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ-เวียนนา ทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
ความร่วมมือด้านวิชาการ
คณะกรรมการร่วม 2 ฝ่าย ว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปะ ได้มีการดำเนินโครงการภายใต้ความร่วมมือนี้มาตั้งแต่ปี 2527ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยของไทยและออสเตรีย โดยทั้งสองฝ่ายมีมติให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วม (Task Force) ขึ้นทุก 2 ปี โดยจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่ กรุงเวียนนา เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 โครงการภายใต้ความร่วมมือนี้ อาทิ โครงการการแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับออสเตรีย โครงการศาตราจารย์อาคันตุกะ การให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก รวมทั้งทุนฝึกอบรมและวิจัย
นอกจากนี้ในระดับพหุพาคี ไทยและออสเตรียเป็นสมาชิกเครือข่ายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยออสเตรียกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ASIA-UNINET) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 โดยมีสมาชิกจัดตั้งฝ่ายเอเชียได้แก่ ไทย เวียดนาอินโดนีเซีย และไทยเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากผลการดำเนินการในลักษณะเครือข่ายดังกล่าว ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีทรัพยากร ความช่วยเหลือ และความร่วมมือทางวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพและกว้างขวาง
ในปี 2547 ไทยและออสเตรียได้ฉลองครบรอบ 20 ปี ความร่วมมือด้านการศึกษา โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ เยือนออสเตรีย ระหว่างวันที่ 21-25 มีนาคม 2547 เพื่อทรงร่วมฉลองโอกาสดังกล่าว
ความตกลงที่ลงนามแล้ว
- ความตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ลงนามเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2509
- ความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ลงนามเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2524
- ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทยกับออสเตรีย ลงนามเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2516 และทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเพื่อปรับปรุงสิทธิการบินกันเป็นระยะ
- ข้อตกลงความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยของไทยกับออสเตรีย ลงนามเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2527
- อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ลงนามเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2528 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2529
- ความตกลงว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ลงนามเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2535
- ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการรถไฟ ลงนามเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2538
- ความตกลงปฏิบัติต่างตอบแทนว่าด้วยการใช้วิทยุสมัครเล่น ไทย-ออสเตรีย แลกเปลี่ยนหนังสือเมื่อเดือนเมษายน 2545
การเยือนที่สำคัญ
ฝ่ายไทย
พระราชวงศ์
- ปี 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสจักรวรรดิออสเตรียโดยสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 ทรงถวายการต้อนรับ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
- ปี 2445 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงดำรงตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
- วันที่ 30 กันยายน - 5 ตุลาคม 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
- วันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
- วันที่ 31 พฤษภาคม – 7 มิถุนายน 2536 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย เพื่อทรงเปิดนิทรรศการ 700 Years of Thailand ที่กรุงเวียนนา
- วันที่ 11-16 กรกฎาคม 2550 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรียเป็นการส่วนพระองค์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
- วันที่ 23 - 27 ตุลาคม 2545 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
- วันที่ 31 สิงหาคม – 4 กันยายน 2532 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรียตามคำกราบบังคมทูลของประธานาธิบดีออสเตรีย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- วันที่ 1 - 9 มิถุนายน 2525 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย
- วันที่ 14 – 25 มีนาคม 2537 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนโรมาเนีย ฮังการี ออสเตรีย เบลเยียม และสวิสเซอร์แลนด์
- วันที่ 21 – 25 มีนาคม 2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรีย เพื่อร่วมงานฉลองครบรอบ 20 ปี ความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ออสเตรีย
รัฐบาล
- วันที่ 14 - 16 กันยายน 2509 ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนออสเตรีย
- วันที่ 13 - 14 กันยายน 2521 นายอุปดิศร์ ปาจรียางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรีย
- วันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน 2523 นายอรุณ ภาณุพงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรียในระหว่างการเยือนยุโรปตะวันออก
- วันที่ 25 - 27 เมษายน 2525 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เยือนออสเตรีย
- เดือนมิถุนายน 2525 พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนออสเตรียเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาเกี่ยวกับ ASEAN-ยุโรป
- วันที่ 7 - 10 มีนาคม 2533 พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรีย
- วันที่ 28 - 30 สิงหาคม 2534ดร. วิเชียร วัฒนคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ นำคณะเดินทางไปร่วมการประชุม Dialogue Congress of Europe-ASEAN
- วันที่ 14 - 16 มิถุนายน 2536 น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เดินทางไปร่วมการประชุมเรื่องสิทธิมนุษยชนโลกที่กรุงเวียนนา
- วันที่ 10 - 11 กุมภาพันธ์ 2542 ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรียอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 8 - 9 กรกฎาคม 2546 ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศ เยือนออสเตรียอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 21 - 25 มีนาคม 2547 นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยือนออสเตรีย
ฝ่ายออสเตรีย
พระราชวงศ์
- ปี 2448 Archduke George และ Archduke Konrad พระราชนัดดาของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ที่ 1 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย
รัฐบาล
- ปี 2510 นาย Franz Jonas ประธานาธิบดีออสเตรีย และภริยา เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 26 - 29 มีนาคม 2524นาย Willibald Pahr รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย เยือนไทย
- วันที่ 1 - 2 ตุลาคม 2532 Dr. Franz Vranitzky นายกรัฐมนตรีออสเตรีย เยือนไทย
- วันที่ 11 - 14 กุมภาพันธ์ 2533 นาย Alois Mock รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ-ต่างประเทศออสเตรีย เยือนไทย
- เดือนมีนาคม 2538 Dr. Thomas Klestil ประธานาธิบดีออสเตรียเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล
- วันที่ 1 - 3 พฤศจิกายน 2538 นาง Benita Ferrero-Waldner รัฐมนตรีช่วยว่าการ-กระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย เยือนไทย
- วันที่ 1 - 2 มีนาคม 2539 Dr. Franz Vranitzky นายกรัฐมนตรีออสเตรีย เยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม ASEM
- วันที่ 26 - 30 กรกฎาคม 2547นาง Elisabeth Gehrer รัฐมนตรีว่าการ-กระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมของออสเตรีย เดินทางเยือนไทย
- วันที่ 24 มีนาคม 2548 นาง Ursula Plassnik รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย แวะเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพฯ
เอกอัครราชทูตไทยประจำออสเตรีย นางนงนุช เพ็ชรรัตน์
เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำไทย นายโยฮันเนส เปเทอร์ลิค (Johannes Peterlik)
กงสุลกิตติมศักดิ์ไทยในออสเตรียประจำเมืองดอร์นบีร์น ซาลส์บูร์ก และเมืองอินส์บรูก
กงสุลกิตติมศักดิ์ออสเตรียในไทย กงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดภูเก็ต และกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ จังหวัดเชียงใหม่
ข้อมูลคนไทยในออสเตรีย
จำนวนคนไทยในออสเตรีย 3.500-4,000 คน มีนักเรียน 40-50 คน แรงงาน 300-400 คน มีร้านอาหารไทย 34 ร้าน (คนไทยเป็นเจ้าของ 21 ร้าน)
สถานะ/อาชีพของคนไทยในออสเตรีย: แม่บ้าน (70%) พนักงานทำความสะอาด (20%) พ่อครัว/แม่ครัว (5%) รับจ้างทั่วไป (5%)
จำนวนสมาคม/ชมรมไทยในออสเตรีย
1. สมาคมออสเตรีย-ไทย (สอท. ณ กรุงเวียนนา มีส่วนร่วมในการก่อตั้ง)
2. สมาคมไทยรักไทย ร่วมด้วยช่วยเมืองไทย
3. ชมรมนักศึกษาและคนไทยในออสเตรีย
ทั้งนี้ มีวัดไทยในออสเตรีย จำนวน 1 วัด ชื่อ วัดญาณสังวร เวียนนา
ที่มา : กองยุโรป 3 กรมยุโรป โทร. 0 2643 5142-3 Fax. 0 2643 5141 E-mail : european04@mfa.go.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น