มีคำถามหนึ่งในหนังสือ The First Person ที่ถามปูตินว่า เขาอยากเป็นประธานาธิบดีหรือไม่เขาบอกว่า ตอนที่เริ่มทำงานในฐานะรักษาการประธานาธิบดี เขารู้สึกพึงพอใจไม่น้อยที่ได้ตัดสินใจเอง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาซึ่งเป็นผู้ชี้ขาดคนสุดท้าย เขาคือผู้แบกรับความรับผิดชอบ และภูมิใจที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง
วลาดิมีร์ ปูติน
ตอบลบในช่วงหลังสหภาพโซเวียตรัสเซียล่มสลายในปึ ค.ศ. 1989 เกิดประเทศเล็กๆน้อยๆมากมายในยุโรปตะวันออก ส่วนประเทศรัสเซียเอง แม้จะประสบความสำเร็จที่เลิกระบบสหภาพรัสเซียภายใต้คอมมิวนิสต์ได้ แต่ก็อยู่ในสถานะความไม่แน่นอนทางการเมือง อยากจะออกจากระบบคอมมิวนิสต์ แต่ไม่รู้ว่าจะก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตย และทุนนิยมในโลกเสรีอย่างไร ประเทศอยู่ในสภาพล่มสลายในทุกด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และรวมถึงวัฒนธรรมด้วย มีผู้นำหลายคนได้ผลัดเปลี่ยนเข้าสู่อำนาจ ตั้งแต่ กอร์บาชอฟ, บอริส เยลซิน, แต่ก็ไม่ได้ทำให้สหภาพโซเวียตได้พบหนทางใหม่ที่เป็นคำตอบ จนกระทั่งมีประธานาธิบดีคนใหม่ที่ชื่อ “วลาดิเมียร์ ปูติน”
วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช ปูติน เขียนในภาษาอังกฤษว่า Vladimir Vladimirovich Putin ในภาษารัสเซีย (Russian) เขียนว่า Владимир Владимирович Путин (help·info), IPA [vlɐˈdʲimʲɪr vlɐˈdʲimʲɪrəvʲɪtɕ ˈputʲɪn]; เขาเกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1952 เป็นประธานาธิบดี (President of Russia) คนที่สองของระบบรัสเซียใหม่ที่หลุดออกจากระบบคอมมิวนิสต์ในสหภาพรัสเซีย
เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศรัสเซีย (Prime Minister of Russia) ในปัจจุบัน และเป็นนายกรัฐมนตรีของสหรัฐรัสเซีย (United Russia) เป้นประธานของคณะกรรมการรัฐมนตรี (Chairman of the Council of Ministers) แห่งสหภาพรัสเซียและเบลารูซ (Union of Russia and Belarus) ในอดีต เขาได้เข้าสู่ตำแหน่งด้วยการทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดี (acting President) ในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เมื่อประธานาธิบดี Boris Yeltsin ที่ต้องป่วยหนักและลาออกจากตำแหน่ง และเมื่อได้มีการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 2000 (2000 presidential election) ปูตินได้รับการเลือกตั้งเข้ามาด้วยตนเอง และเมื่อหมดวาระในปี ค.ศ. 2004 เขาได้เข้ารับการเลือกตั้งอีกครั้งเป็นสมัยที่สอง และได้รับการลงคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น และดำรงตำแหน่งสืบมาจนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2008
แต่ด้วยรัฐธรรมนูญของประเทศได้จำกัดวาระการดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัย ทำให้เขาไม่มีสิทธิในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สาม และเมื่อ Dmitry Medvedev ซึ่งเป็นบุคคลในทีมของเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2008 (2008 presidential elections) เขาก็ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008
ในตลอดช่วงสมัยการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เขาได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนและการยอมรับจากสาธารณรัฐรัสเซียอย่างมาก เขาได้รับการยกย่องว่าได้พารัสเซียออกจากความไม่แน่นอนทางการเมือง การสร้างและนำกฎหมายสู่ความศักดิสิทธิ์ ในช่วง 8 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยการบริหารเศรษฐกิจเชิงมหภาค การปฏิรูปนโยบายการเงินการคลัง ประกอบกับราคาน้ำมันอันเป็นทรัพยากรสำคัญของรัสเซียได้เพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจของรัสเซียได้กลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และรอดพ้นจากวิกฤตินานัปการ
รายได้ประชาชาติ (GDP) ได้เพิ่มขึ้น 7 เท่า (72% in PPP) ความยากจนได้ลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เงินเดือนเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นจากเดือนละ USD 80 เป็น USD 640 หรือประมาณร้อยละ 150 ในมูลค่าแท้จริง (real rates) บรรดานักวิเคราะห์ได้พรรณนาการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัสเซียภายใต้ปูตินว่า “น่าประทับใจ” ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง เขาได้ออกกฎหมายหลายอย่างที่รวมถึง การเก็บภาษีรายได้แบบทั่วไปที่ร้อยละ 13 ลดภาษีจากกำไร (Profits Tax) กำหนดกฏหมายและกฏเกณฑ์ต่างๆว่าด้วยสิทธิที่ดิน
แต่ในขณะเดียวกัน การดำเนินการของเขาได้รับการวิพากษ์ในด้านกิจการภายในจากพรรคฝ่ายตรงกันข้าม จากรัฐบาลต่างประเทศ และองค์การด้านสิทธิมนุษยชนในการที่เขาได้นำให้ประเทศเข้าสู่สงครามเชคเชนครั้งที่สอง (Second Chechen War) และการที่เขาได้นำประเทศเข้าสู่ความเป็นทุนนิยมใหม่แบบรัสเซีย ก็ได้มีกลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดกับเขาที่ได้ดิบได้ดี (group of business magnates) ดังเช่น Gennady Timchenko, Vladimir Yakunin, Yuriy Kovalchuk, Sergey Chemezov บุคคลเหล่านี้มีความใกล้ชิดเป็นการส่วนตัวกับปูติน โดยระบบแล้ว เขาเป็นผู้นำในระบอบประชาธิปไตย และประสบความสำเร็จตามกรอบกติกา แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาเป็นผู้นำแบบไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจที่จะทำให้วัตถุประสงค์ได้บรรลุผล
.
วลาดิเมียร์ ปูตินบุรุษเหล็กรัสเซีย
ตอบลบ“วลาดิเมียร์ ปูตินบุรุษเหล็กรัสเซีย” สำหรับหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2550 โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ www.vikrom@vikrom.net, e-mail: vikrom@vikrom.net
ทั้งในอดีตและปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดในโลกจะใหญ่หรือมีขนาดใกล้เคียงกับ
รัสเซียในอดีตที่มีพื้นที่กว่า 22 ล้านตร.กม. หรือแม้แต่หลังจากเกิดการล่มสลายแล้วรัสเซียยังคงมีพื้นที่กว่า 17 ล้านตร.กม. ทิ้งห่างแคนาดาที่ครองอันดับสองอยู่ถึงเท่าตัว รัสเซียครองสัดส่วนพื้นที่ในโลกถึง 10% เป็นประเทศที่มีอาณาเขตเริ่มต้นจากมหาสมุทรแปซิฟิคทางด้านเอเชียไปจรดอีกฝากฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรในยุโรป นอกจากนี้รัสเซียยังถือว่าเป็นประเทศทีมีความลี้ลับที่สุดในโลก ทั้งนี้เนื่องมาจากความกว้างใหญ่ของภูมิประเทศและประกอบกับภูมิอากาศอันหนาวเหน็บทำให้คนที่จะสัญจรไปมามีน้อย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรัสซียยังคงเป็นประเทศปิด ไม่ค่อยเปิดรับมิตรต่างแดน ด้วยความคิดของชาวรัสเซียเองที่คิดไปว่าตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวหนึ่งเดียวในโลก
เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่ไม่เปิดใจรับประเทศอื่นนั้นเป็นผลมาจากการที่รัสเซียเป็นประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์เธอร์ด๊อกซ์ที่ค่อนข้างแข่งครัด ทำให้รัสเซียไม่คบค้าสมาคมกับต่างประเทศเลย และในอดีตเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว เมื่อเลนินได้ยึดการปกครองจากราชวงศ์โรมานอฟของพระเจ้าซาร์ และออกนโยบายปิดประเทศ ทำให้ไม่มีใครรับรู้เรื่องราวของรัสเซียอีกต่อไปเลยในยุคของคอมมิวนิสต์ในสงครามเย็น จนได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศ “หลังม่านเหล็ก”
รัสเซียเพิ่งเปิดประเทศเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ด้วยแนวความคิดและนโยบายของมิคาเอล กอร์บาชอฟ ที่เชื้อเชิญชาติตะวันตกให้เข้ามาลงทุนทำธุรกิจในรัสเซียเป็นผลให้รัสเซียเกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิตไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีการพัฒนาและเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วตามนโยบายเปเลส ทอยก้าร์ ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เดิม ให้มีการเปิดตลาดการค้าการลงทุนอย่างเสรีมากขึ้น จนทำให้รัสเซียกลายมาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ ผมมองว่ารัสเซียเป็นประเทศที่เก่าแก่ และมีเอกลักษณ์ที่เด่นชัดเป็นของตนเอง ยากที่จะรับเอาวัฒนธรรมอื่น ๆ เข้ามาในประเทศ สังเกตจากบุคคลิกภาพของคนรัสเซียที่เป็นคนยิ้มยาก ผมมีประสบการณ์ตรงจากการเดินทางไปรัสเซียหลายต่อหลายครั้งเมื่อ 26 ปีที่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่คุ้นชินกับภาพของคนรัสเซียที่เดินไปทางไหนมีแต่สีหน้าเฉยเมยหรือค่อนข้างบึ้งตึงแทบไม่ได้พบกับรอยยิ้มมิหนำซ้ำคนรัสเซียยังเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก และมักจะแสดงความเป็นปฎิปักษ์ไว้ก่อนอย่างเด่นชัด คงเป็นเพราะความหวาดระแวงต่อคนต่างชาติที่คนรัสเซียมีอยู่อันเป็นผลมาจากรอยแผลเป็นจากอดีตที่ฝังลึกจนยากที่จะเยียวยา เพราะรัสเซียถูกนาซีรุกรานในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตล้มตายไปกว่า 22 ล้านคนด้วยเหตุนี้จึงทำให้ม่านเหล็กของรัสเซียปิดสนิทมากขึ้นไปอีก
...ต่อ...
...ต่อ...
ตอบลบอย่างไรก็ตาม, ย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว วลาดิเมียร์ ปูตินผู้นำคนหนุ่มได้ก้าวขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการและต่อมาก็ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จากการเข้ามารับตำแหน่งผู้นำประเทศหลังม่านเหล็ก ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัสเซียขึ้นอย่างรวดเร็วและม่านเหล็กที่เคยปิดอยู่นั้นได้ถูกทำลายลง จากการที่ปูตินได้เดินทางไปพบกับผู้นำของชาติตะวันตก ทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักคนรัสเซียมากขึ้น ความรู้สึกและความเข้าใจต่อคนรัสเซียก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก จากการได้เข้าร่วมประชุมระดับผู้นำโลกทำให้นานาประเทศได้ทำความเข้าใจและยอมรับในรัสเซียมากขึ้น โดยเฉพาะการประชุม APEC ซึ่งถือเป็นการเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาโลกร่วมกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเวทีนี้เองที่ทำให้ช่องว่างของรัสเซียค่อย ๆ แคบลงเรื่อย ๆ วลาดิมีร์ ปูตินจึงเป็นเสมือนผู้ที่ทำหน้าที่นำพารัสเซียไปสู่การเป็นที่ยอมรับของทั้งโลก ทั้ง ๆ ที่ในระยะแรกนั้นภาพของเขายังคงเป็นคนหัวโบราณที่ระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ภายหลังเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนเปิดเผยและจริงใจมากขึ้น พร้อม ๆ กับเศรษฐกิจของรัสเซียที่เจริญเติบโตไปควบคู่กัน
ผมมองว่ากอร์บาชอฟเป็นคนที่เปิดม่านเหล็กและกำแพงเบอร์ลินให้รัสเซียออกมาสู่โลกภายนอก แต่วลาเดมีร์ ปูติน เป็นเสมือนผู้ที่ขยายประตูนี้ให่มีช่องว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนี้รัสเซียแตกต่างจากอดีตอย่างเห็นได้ชัด ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล ปัจจุบันรัสเซียมีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีแหล่งน้ำมันดิบมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากซาอุดิอารเบีย ไม่แน่ว่าปูตินอาจเป็นผู้นำที่ทำให้รัสเซียกลับมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากการที่เขาได้ก้าวขึ้นสู่การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซียต่อจากนายบอริส เยลซิน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1999 และทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในปีถัดมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 และปูตินก็ได้เป็นประธานาธิบดีรัสเซียอีกเป็นวาระที่ 2 จากการชนะการเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2004 ที่จะถึงนี้ ซึ่งเมื่อครบวาระแล้วปูตินก็ต้องลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นการถาวร เพราะผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียสามารถอยู่ในตำแหน่งได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น และจะครบวาระในปี ค.ศ. 2008 ดังนั้นเราควรมาจับตามองว่าในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า เส้นทางที่เขาจะนำพารัสเซียก้าวเดินไปจะอยู่ในทิศทางใด
.
ประวัติ
ตอบลบวลาดิมีร์ ปูติน หรือมีชื่อเต็มว่า วลาดิมีร์ วลาดิมิโลวิทช์ ปูติน เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1952 ที่กรุงเลนินกราด พื้นฐานชีวิตของเขานั้นมาจากครอบครัวที่ยากจน ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ใน
อพาร์ทเมนต์ของคอมมูน ปูตินมีปู่เป็นพ่อครัวทำอาหาร และปู่ของเขาเคยถูกนำตัวไปที่ชานกรุงมอสโกเพื่อทำหน้าที่เป็นกุ๊กอยู่ที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งของสตาลิน พ่อของปูตินมีชื่อว่า วลาดิเมียร์ สปิรีโดโนวิช ปูติน มีอาชีพเป็นหัวหน้าช่างโรงงาน พ่อของเขาถูกเกณฑ์เป็นทหารเข้าไปประจำการในหน่วยราชนาวีของรัสเซีย อยู่ในกองเรือรบดำน้ำในช่วงทศวรรษที่ 1930 จากนั้นก็ไปประจำการในหน่วยภาคพื้นดินและทำงานใน KNVD ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 KNVD เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือทำหน้าที่ประมาณเหมือนเป็นตำรวจและเป็นหน่วยรักษาความสงบของรัฐ ส่วนแม่ของปูตินนั้นมีชื่อว่ามาเรีย อิวาโนวนา ปูติน่าทำงานเป็นคนงานในโรงงาน แม่เป็นคนที่เคร่งในศาสนามาก ไปโบสถ์เป็นประจำ ส่วนพ่อนั้นเป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัวจึงไม่นับถือศาสนาและไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยขัดแย้งกันด้วยเรื่องแนวคิดทางศาสนาแต่อย่างใด
ปูตินได้รับการเลี้ยงดูแบบลูกคนเดียวมาตลอด แต่แท้จริงแล้วเขาเคยมีพี่ชาย 2 คน แต่ทั้งสองตายไปตั้งแต่เด็กๆ เมื่อตอนเขาเป็นเด็กเขาได้รับการเข้าพิธีแบบติสหรือทำพิธีล้างบาปตามความเชื่อแบบ คริสตนิกายออร์โธด็อกซ์ของรัสเซีย ถึงแม้ว่าในเวลานั้นกฎหมายของคอมมิวนิสต์จะห้ามทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ตาม เขาเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะเลียนแบบดาราในหนังที่แสดงเป็นเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ ซึ่งความชอบในวัยเด็กอันนี้คงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ปูตินเข้ามาทำงานกับเคจีบีเมื่อตอนโต (เคจีบีเป็นหน่วยงานตำรวจลับของสหภาพโซเวียตในสมัยนั้น)
พ่อของปูตินเสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1999 และแม่ก็เสียชีวิตก่อนพ่อเพียง 6 เดือนเท่านั้น อันเป็นปีที่ปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี น่าเสียดายว่าพ่อและแม่ของเขาไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของลูกชายคนเดียว
ปูตินเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยรัฐเลนินกราด ขณะศึกษาเขาได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต เขาเรียนจบในปี ค.ศ. 1975 ขณะอายุได้ 23 ปี และหลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าเป็นสายลับที่สำนักข่าวกรองเคจีบีของอดีตสหภาพโซเวียตทันที โดยทำงานที่สำนักงานอำนวยการเคจีบีในกรุงเลนินกราด ปูตินทำงานเป็นเคจีบีเป็นเวลานานถึง 17 ปี ปูตินก็สำเร็จผ่านการฝึกฝนต่างๆ ของหน่วยเคจีบี และอีกสองปีต่อมาก็เข้ารับการฝึกทักษะอื่นๆ ของการเป็นสายลับต่างประเทศในกรุงมอสโก พอฝึกเสร็จเขาก็เข้าประจำการในหน่วยสายลับต่างชาติของเคจีบีจนกระทั่งปี ค.ศ. 1983 ได้รับยศพลตรีเมื่อปี ค.ศ. 1984
...ต่อ...
...ต่อ...
ตอบลบช่วงปี ค.ศ. 1985 – 1990 เขาถูกส่งไปประจำการอยู่ในกรุงเดรสเด็น ประเทศเยอรมนีตะวันออก ซึ่งในเวลานั้นยังไม่รวมตัวกับประเทศเยอรมนีตะวันตก หนึ่งในงานที่ปูตินรับผิดชอบคือติดตามบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีแนวความคิดนิยมตะวันตก เพราะเยอรมนีถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศเนื่องจากความขัดแย้งของสองมหาอำนาจรัสเซียและอเมริกา ฝ่ายตะวันออกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ดูแลโดยรัสเซีย ฝ่ายตะวันตกเป็นประชาธิปไตยดูแลโดยอเมริกา
หลังจากที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย เขาถูกเรียกตัวกลับรัสเซีย และได้เข้าทำงานที่มหาวิทยาลัยรัฐเลนินกราดฝ่ายการวิเทศสัมพันธ์ และยังเป็นเคจีบีไปพร้อมๆ กัน เขาลาออกจากการทำงานด้านความมั่นคงของรัฐนี้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1991 ในช่วงที่หน่วยเคบีจีล้มเหลวจากการสนับสนุนให้โค่นล้มประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟ หลังจากลาออกแล้ว เขาได้ร่วมงานกับ นายอานาโตลี ซอบแชก นายกเทศมนตรีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และอีก 3 ปีต่อมาปูตินก็ก้าวขึ้นมาเป็นรองนายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก จากนั้นเขาก็ได้รับชักชวนให้ไปทำงานกับรัฐบาลของประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ในกรุงมอสโกเมื่อปี ค. ศ. 1997 โดยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยบริหารเครมลิน มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอกฎหมายต่างๆ ให้กับเยลต์ซิน และในปี ค.ศ. 1997 ปูตินได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานข่าวกรอง ภายใน 1 ปีถัดมาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ
ในช่วงเวลานั้นเยลต์ซินสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก ซึ่งช่วงเวลานั้นเยลต์ซินแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี 5 คนภายใน 17 เดือน โดยคนหลังสุดคือปูติน ในปี ค.ศ. 1999 เยลต์ซินจึงประกาศให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประกาศว่าปูตินคือทายาททางการเมืองที่เลือกแล้ว และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติให้รักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งสภาดูมาได้พิจารณาให้ความเห็นชอบการเสนอแต่งตั้งในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1999
ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปูตินมีหน้าที่ต้องมาจัดการสงครามในเชชเนีย ซึ่งเป็นรัฐที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต อยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย เขาได้รับความชื่นชมจากคนรัสเซียว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะส่งทหารเข้าไปปราบปรามเชชเนียเป็นครั้งที่ 2 ต่อมาในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1999 เกิดปัญหาเรื่องเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งของรัฐสภา ช่วงปีใหม่ประธานาธิบดีเยลต์ซินจึงประกาศลาออกอย่างกะทันหันโดยแต่งตั้งปูติน ทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดี จนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ ปูตินเปิดสงครามลุยเชชเนีย ทั้งๆ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตะวันตก แต่ชาวรัสเซียชื่นชมปูตินมากเพราะสามารถขับไล่พวกกบฏ
เชเชนและสามารถคุมเชชเนียได้อีกครั้ง
...ต่อ...
...ต่อ...
ตอบลบการลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระของประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 นั้น เพื่อที่จะต้องการถ่ายทอดอำนาจให้แก่ปูติน ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าปูติน ได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 52.5 โดยผู้ได้รับเลือกตั้งประธานาธิบดีเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับหน้าที่ 30 วันนับจากการประกาศผลอย่างเป็นทางการ คือในวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 ปูตินเป็นประธานาธิบดีเมื่อตอนที่มีอายุได้ 47 ปีเท่านั้น เขาได้ยืนยันนโยบายว่าจะคงการปฏิรูปประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดต่อไป ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีต่อประเทศตะวันตกว่า ในยุคของเขาจะนำรัสเซียกลับคืนสู่การเป็นมหาอำนาจและมีบทบาทนำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เห็นได้จากการที่เขาปรับความสัมพันธ์กับนาโต ผลักดันให้สภาดูมาให้สัตยาบันสนธิสัญญา START-2 เพื่อเป็นการเอาใจและปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา การเดินทางเยือนอังกฤษเป็นประเทศแรกภายหลังที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ย้ำให้เห็นถึงว่าปูตินให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกเป็นลำดับแรก เพื่อมิให้รัสเซียถูกโดดเดี่ยวออกจากเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
เมื่อปูตินเข้ามาเป็นประธานาธิบดี เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของรัสเซียดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ฟื้นตัวดีขึ้น แต่ปูตินก็มีเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์อยู่พอสมควรทั้งเรื่องการเป็นผู้นำที่ปราบปรามเชชเนียอย่างรุนแรง การกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างเช่นการตั้งข้อหาต่างๆ และดำเนินคดีกับคนเหล่านี้ อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 นั้น เขาได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นถึงร้อยละ 71.2 ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความนิยมในตัวเขาที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ประชาชนรัสเซีย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของรัสเซีย ในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีการวิเคราะห์ว่า ชาวรัสเซียมักจะชื่นชอบผู้นำที่เข้มแข็ง เนื่องจากเชื่อว่า จะสามารถปกครองประเทศที่มีขนาดใหญ่เช่นรัสเซียได้ ซึ่งประธานาธิบดีปูติน ได้แสดงออกถึงคุณลักษณะดังกล่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการใช้นโยบายและมาตรการที่เด็ดขาดและจริงจังในการแก้ไขปัญหาเชชเนีย
ปูตินมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษและเยอรมันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะภาษาเยอรมันที่ปูตินสามารถพูดได้เหมือนเจ้าของภาษา เพราะครอบครัวของเขาสมัยเด็กๆ จะคุยกันเป็นภาษาเยอรมัน เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้เมื่อตอนไปทำงานเป็นสายลับที่เยอรมนีตะวันออก นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายเขาเล่นแซมโบได้แก่งมาก และยูโดมาตั้งแต่อายุ 11 ปี คนที่จะทำงานเป็นสายลับได้จะต้องเรียนรู้การป้องกันตัว นอกจากนี้เขายังชนะการแข่งขันเป็นแชมป์การแข่งขันแซมโบของกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบอร์กหลายครั้งและยังได้รับ Master of Sports จากแซมโบ และต่อมาก็ได้จากยูโด เขาเป็นผู้นำคนแรกที่ได้สายดำจากการเล่นยูโด และยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับยูโดสองเล่ม เล่มแรกเขียนเกี่ยวกับตัวเขาเองกับการเล่นยูโดเป็นภาษารัสเซีย และเล่มที่สองเขียนเกี่ยวกับประวัติ ทฤษฎี และการเล่นและหัดยูโด เล่มที่สองนี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้งเมื่อตอนปูตินไปเยือนญี่ปุ่นเขาได้รับการเชิญให้ไปสาธิตการเล่นยูโดโดยใช้เทคนิคพิเศษอีกด้วย
ผลจากความที่เขาเป็นนักกีฬาจะเห็นได้ว่าปูตินเป็นผู้นำที่มีหุ่นสะโอดสะองมากแตกต่างจากผู้นำของประเทศอื่นๆ ที่ค่อนข้างท้วมหรืออ้วน หรืออาจจะเป็นเพราะเขาดูแลรักษาสุขภาพร่างกายเป็นอย่างดี เขาไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้าจัด และเป็นคนรักสัตว์ เขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีขาวมีชื่อว่าทอสก้า และชอบดูการแข่งม้า
ปูตินแต่งงานกับลุดมิลา สเครบเนวา (Lyudmila Shkrebneva) เมื่อวันที่ 28 เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1983 ลุดมิล่าเคยเรียนทางด้านภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งเเดียวกันกับที่ปูตินเคยเรียนพอเรียนจบมาก็ทำงานเป็นบริกรหญิงบนเครื่องบินในกรุงคาลินินกราด จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นครูสอนหนังสือ เมื่อปี ค.ศ. 1958 และมีลูกสาวสองคน คือมาเรีย เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1985 และแคทย่า เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1986 ลูกสาวทั้งสองต่างเกิดในกรุงเดรสเด็น ประเทศเยอรมนี และตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเยอรมันกรุงมอสโก
.
วลาดิมีร์ ปูติน
ตอบลบชีวประวัติของ วลาดิมีร์ ปูติน
วลาดิมีร์ ปูติน (รัสเซีย: Владимир Владимирович Путин ; Vladimir Vladimirovich Putin) เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหพันธรัฐรัสเซีย
เกิดวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) ที่เมืองเลนินกราด (ปัจจุบันคือเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) และสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีจากบอริส เยลต์ซินเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999)
ได้รับการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2547
ชื่อวลาดิมีร์ ปูติน มีความหมายอย่างไร
วลาดิมีร์ หรือที่เขียนว่า Владимир (ขอย้ำ อ่านว่า วลาดิมีร์) มาจากคำ 2 คำ คือ Власть อ่านว่า วลาสต์ ที่แปลว่า “อำนาจ” กับคำว่า Мир อ่านว่า “มีร์” ซึ่งมี 2 ความหมาย คือ ”โลก” และ "สันติภาพ" แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึง "โลก" มากกว่า คำว่า Владимир จึงแปลได้ว่า “ผู้ครองโลก”
ส่วนคำว่า“ปูติน” มาจากคำว่า Путь อ่านว่า ปุต แปลว่า “ทาง เส้นทาง ทางเดิน” ซึ่งหากเติม ин หรือ อิน ต่อท้ายคำนาม คำนั้นก็จะหมายถึงคนที่เกี่ยวข้องกับคำนามนั้นๆ คำว่า “ปูติน” จึงแปลว่า “คนเดินทาง”
.
ไทม์ยก‘วลาดิมีร์ปูติน’บุคคลแห่งปี2007
ตอบลบวอชิงตัน (รอยเตอร์ส) — ปูติน ขึ้นแท่นบุคคลแห่งปี 2007 ไทม์ ระบุชัด ไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนที่รัสเซียรัก
ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ผงาดขึ้นแท่น “บุคคลแห่งปี” ประจำปี 2007 โดยนิตยสารชื่อดังของโลกอย่างไทม์ ในฐานะที่เป็นผู้นำรัสเซียซึ่งสามารถนำประเทศ กลับคืนสู่ความเป็นมหาอำนาจของโลกได้อีกครั้ง
ปูติน ซึ่งเป็นอดีตสายลับเคจีบี สมัยอดีตสหภาพโซเวียต และ เป็นทายาททางการเมืองของอดีตประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน จะได้รับการขึ้นหน้าปกนิตยสารไทม์ อย่างทรงเกียรติ ในฐานะเป็นบุคคลที่นำมาซึ่งผลกระทบต่อโลกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในทางบวก หรือลบ
“เขาไม่ใช่คนดี แต่เขาได้ทำ ในสิ่งที่สุดเหลือเชื่อ” ริชาร์ด สเตรเกล บรรณาธิการบริหารของไทม์ กล่าวในรายการ ทูเดย์โชว์ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี
“เขาคือพระเจ้าซาร์คนใหม่ของรัสเซีย และเป็นบุคคลอันตราย ในแง่ที่ว่า เขาไม่เคยสนใจในเสรีภาพของพลเรือน ไม่สนใจในการให้เสรีภาพในการพูด เขาสนใจแต่เรื่องความมั่นคง และความมั่นคงก็คือ สิ่งที่รัสเซียต้องการ และนั่นคือเหตุผลว่า ทำไมชาวรัสเซียถึงรักเขา” สเตรเกล กล่าว
การประกาศผลครั้งนี้ มีขึ้น เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ ปูติน ได้ประกาศชัดเจนว่า เจ้าตัวพร้อมที่จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หาก ดิมิทรี เมดเวเดฟ พันธมิตรใกล้ชิดของเขา สามารถชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า
บุคคลสำคัญของโลกคนอื่นๆ ที่ได้รับการพิจารณาเป็นบุคคลแห่งปีโดยไทม์ ในปีนี้ ยังรวมถึงอดีตรองประธานาธิบดี อัล กอร์, เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้ประพันธ์วรรณกรรมเด็กแฮร์รี่ พอตเตอร์, ประธานาธิบดี หูจิ่นเทา แห่งจีน และ พล.อ.เดวิด เปตรัส ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐ ในอิรัก
.
วลาดิมีร์ ปูติน สนใจเรื่องสายลับมาตั้งแต่เด็ก
ตอบลบวลาดิมีร์ ปูติน สนใจเรื่องสายลับมาตั้งแต่เด็ก ชอบดูหนังเกียวกับสายลับเป็นพิเศษ จึงเข้าเรียนโรงเรียนผลิตตำรวจและข้าราชการและเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยเลนินการ์ด สเตต ยูนิเวอร์ซิตี้ จากนั้นเข้าทำงานเป็นสายลับที่สำนักข่าวกรองเคจีบีของอดีตสหภาพโซเวียต เป็นเคจีบีเป็นเวลานาน 17 ปี เคยถูกส่งไปประจำการอยู่ในอดีตเยอรมนีตะวันออก หนึ่งในงานที่รับผิดชอบคือติดตามบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีแนวความคิดนิยมตะวันตก ช่วงปี 2533 เดินทางกลับรัสเซียและทำงานในมหาวิทยาลัยเลนินการ์ดพร้อมกับการเป็นเคจีบี
เส้นทางการเมืองเริ่มด้วยการเข้าไปร่วมงานกับ นายอานาโตลี ซอบแชก นายกเทศมนตรีเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก 3 ปีต่อมาก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วยนายกเทศมนตรีเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อซอบแชกแพ้เลือกตั้ง ปูตินตัดสินใจไปร่วมงานกับประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ของรัสเซียที่พระราชวังเครมลินโดยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยบริหารเครมลิน ในปี 2541 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานข่าวกรอง ภายใน 1 ปีถัดมาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ ในช่วงเวลานั้นเยลต์ซินสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก ซึ่งช่วงเวลานั้นเยลต์ซินแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี 5 คนภายใน 17 เดือน โดยคนหลังสุดคือปูติน เมื่อปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้นำทั่วโลกถามว่าใครเป็นปูติน มาจากไหน
.
แบร่ๆๆๆๆๆ
ลบกากกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ลบพญาอินทรีชื่อ วลาดิมีร์ ปูติน
ตอบลบนอกจากสหรัฐอเมริกา จะถูกเรียกขานว่าพญาอินทรี และเยอรมนี มีอินทรีเหล็กเป็นตราสัญลักษณ์แล้ว ยังมีอินทรีอีกตัวหนึ่งที่เกรียงไกรไม่แพ้กัน นั่นคือ อินทรีสองหัว ‘รัสเซีย’ ที่คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อ หมีขาว
ว่ากันว่า หัวข้างหนึ่งของอินทรีหันไปทางตะวันออก ส่วนอีกข้างหนึ่งหันไปหาตะวันตก หมายถึงความยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตในอดีต ที่มีดินแดนกินลึกเข้าไปทั้งในเอเชียและยุโรป แต่ความภูมิใจของชาวรัสเซียต้องสูญสลายไป พร้อมๆ กับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประเทศที่เคยต้านทานกำลังพล 6 แสนนาย ของจักรพรรดินโปเลียน จนถอยร่นเหลือกลับบ้านไม่ถึงสองหมื่น เมื่อ ค.ศ.1812 และเอาชนะกองทัพนาซีเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าจะต้องสังเวยด้วยชีวิตทหารไปเป็นจำนวนมากก็ตาม
คนที่เติบโตมากับความยิ่งใหญ่ของชาติ แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญ แต่เมื่อเห็นชาติล่มไปต่อหน้าต่อตา แถมอนาคตยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะจู่ๆ ต้องตกงานกะทันหัน ย่อมรับไม่ได้เป็นธรรมดา และคนประเภทที่ว่าก็คือ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้ปักใจเชื่อว่า ผู้ที่รับผิดชอบเต็มๆ ต่อการล่มสลายของสหภาพโซเวียต คือ สหรัฐอเมริกา ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ในยุคปูติน กับ จอร์จ ดับเบิลยู บุช จึงได้หมางเมินเย็นชา ไม่ได้ พั น ธ มิ ต ร จ๋ า เ ห มื อ น ยุ ค บอริส เยลซิน กับ บิล คลินตัน การที่ปูตินได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ก็เหมือนกับการเปิดโอกาสให้เขาได้สะสางบัญชีแค้นที่สั่งสมมานานหลายปี
เชื่อกันว่า ตอนที่เยลซินประกาศลาออก เพื่อให้ปูตินสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีแทนเขานั้น ได้มีการทำข้อตกลงกันว่า ปูตินจะเก็บกวาดใคร ยังไงก็ช่าง ขอเพียงอย่าแตะต้องเขาและครอบครัว ด้วยบุคลิกของการเป็นคนซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อนาย ทำให้เยลซินเชื่อใจปูติน และเขาก็ไม่ผิดหวังเพราะปูตินไม่แตะต้องเขาและครอบครัว แต่คนรอบตัวถูกเก็บกวาดเรียบ โดยเฉพาะพวกฉกฉวยความร่ำรวยในยุคเยลซิน อย่างพวกออริการ์ช คนที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศ อย่าง มิคาอิล คาดาคอฟสกี้ ยังคงติดคุกอยู่จนทุกวันนี้ ส่วน โรมัน อับราโมวิช เจ้าของสโมสรเชลซีก็ทยอยขายหุ้น ขายบริษัทน้ำมันในรัสเซีย ลงหลักปักฐานในอังกฤษ และไม่พยายามสร้างความระคายเคืองให้ทำเนียบเครมลิน เพราะไม่อยากมีชะตากรรมเหมือนคาดาคอฟสกี้
...ต่อ...
...ต่อ....
ตอบลบการชำระบัญชีแค้นในประเทศทำให้ชาติตะวันตกบางชาติ ตำหนิเขาแรงๆ ว่ากำลังจะนำพารัสเซียย้อนกลับไปสู่ยุคมืด แต่ชาวรัสเซียกลับสนับสนุนการกระทำของเขา ดูได้จากคะแนนนิยมที่ไม่เคยตก แถมยังเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เขาได้ดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 อีกด้วย ขณะที่ผู้นำชาติที่ตำหนิเขากลับมีคะแนนนิยมตกต่ำแบบกู่ไม่กลับ ส่วนบัญชีแค้นนอกประเทศ ก็คือการ ‘ขวาง’ มันทุกเรื่องที่สหรัฐฯ เสนอเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคง
ที่เห็นได้ชัดเจนคือ สงครามอิรัก รวมถึงเรื่องอิหร่านและเกาหลีเหนือ ที่รัสเซียค้านหัวชนฝาไม่ให้ใช้ไม้แข็งเข้าจัดการ และแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติก หรือ นาโต้ ที่มีสหรัฐฯ เป็นโต้โผใหญ่สยายปีกมาเก็บเกี่ยวเอาอดีตประเทศในเครือสหภาพโซเวียตไปเป็นสมาชิก เท่ากับเป็นการลิดรอนปีกหางของอินทรีรัสเซียไปเรื่อยๆ
ปูตินยืนยันว่าจะไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญอย่างเด็ดขาด เพราะตัวเขาเองตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมเป็นประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 3 นั่นเป็นเพราะปูตินได้วางรากฐานอันมั่นคงของตัวเองเอาไว้แล้ว เชื่อกันว่า เขาวางตัวทายาททางการเมืองที่จะสานต่อแนวคิดและนโยบายของเขาไว้แล้ว ส่วนตัวเขาเองก็คงจะนั่งบัญชาการอยู่หลังฉาก
ปูตินยังหนุ่มเกินกว่าที่จะเป็นแค่เสี้ยนผุๆ ให้ใครมาบ่งทิ้งง่ายๆ โดยเฉพาะการชำระบัญชีแค้นกับสหรัฐฯ ที่มีส่วนทำให้เขาต้องเกือบกลายเป็นคนไร้อนาคตเพราะโซเวียตล่มสลาย ตอนที่เขายังเป็นเคจีบีอยู่ในเยอรมันตะวันออกและภารกิจถูกยกเลิก ทำให้เขาเคว้งคว้างไม่รู้จะทำยังไงต่อไป และเคยคิดว่าอาจต้องไปขับรถแท็กซี่ แต่ภายหลังคิดได้ว่าจะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ก็เลยตัดสินใจจะไปทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเลนินกราด และจุดนั้นเองที่เป็นเส้นทางเริ่มต้นของเขาในปัจจุบัน
มีคำถามหนึ่งในหนังสือ The First Person ที่ถามปูตินว่า เขาอยากเป็นประธานาธิบดีหรือไม่เขาบอกว่า ตอนที่เริ่มทำงานในฐานะรักษาการประธานาธิบดี เขารู้สึกพึงพอใจไม่น้อยที่ได้ตัดสินใจเอง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาซึ่งเป็นผู้ชี้ขาดคนสุดท้าย เขาคือผู้แบกรับความรับผิดชอบ และภูมิใจที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง
เขาบอกด้วยว่า “ผมตั้งกฎเกณฑ์สำหรับตัวเองไว้ หนึ่งในจำนวนนี้คือ การไม่เสียใจกับทุกสิ่ง ในเมื่อลงมือทำไปแล้วก็ต้องคิดว่ามันถูกต้องสมควรแล้ว ถ้ามัวแต่เสียใจและย้อนกลับไปหาอดีต ก็รังแต่จะจมปลักอยู่กับความผิดพลาดเหล่านั้น จริงอยู่ที่ว่าคนเราควรจะวิเคราะห์ความผิดพลาดในอดีต แต่เราควรจะเรียนรู้ที่จะทำให้มันถูกต้องสำหรับอนาคตข้างหน้าไม่ดีกว่าหรือ ผมเองก็เคยทำเรื่องงี่เง่ามาก่อน แล้วก็ทำให้ผมเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”
.
วลาดิมีร์ ปูติน
ตอบลบประวัติ
วลาดิมีร์ ปูติน หรือมีชื่อเต็มว่า วลาดิมีร์ วลาดิมิโลวิทช์ ปูติน เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1952 ที่กรุงเลนินกราด พื้นฐานชีวิตของเขานั้นมาจากครอบครัวที่ยากจน ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ใน
อพาร์ทเมนต์ของคอมมูน ปูตินมีปู่เป็นพ่อครัวทำอาหาร และปู่ของเขาเคยถูกนำตัวไปที่ชานกรุงมอสโกเพื่อทำหน้าที่เป็นกุ๊กอยู่ที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งของสตาลิน พ่อของปูตินมีชื่อว่า วลาดิเมียร์ สปิรีโดโนวิช ปูติน มีอาชีพเป็นหัวหน้าช่างโรงงาน พ่อของเขาถูกเกณฑ์เป็นทหารเข้าไปประจำการในหน่วยราชนาวีของรัสเซีย อยู่ในกองเรือรบดำน้ำในช่วงทศวรรษที่ 1930 จากนั้นก็ไปประจำการในหน่วยภาคพื้นดินและทำงานใน KNVD ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 KNVD เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือทำหน้าที่ประมาณเหมือนเป็นตำรวจและเป็นหน่วยรักษาความสงบของรัฐ ส่วนแม่ของปูตินนั้นมีชื่อว่ามาเรีย อิวาโนวนา ปูติน่าทำงานเป็นคนงานในโรงงาน แม่เป็นคนที่เคร่งในศาสนามาก ไปโบสถ์เป็นประจำ ส่วนพ่อนั้นเป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัวจึงไม่นับถือศาสนาและไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยขัดแย้งกันด้วยเรื่องแนวคิดทางศาสนาแต่อย่างใด
ปูตินได้รับการเลี้ยงดูแบบลูกคนเดียวมาตลอด แต่แท้จริงแล้วเขาเคยมีพี่ชาย 2 คน แต่ทั้งสองตายไปตั้งแต่เด็กๆ เมื่อตอนเขาเป็นเด็กเขาได้รับการเข้าพิธีแบบติสหรือทำพิธีล้างบาปตามความเชื่อแบบ คริสตนิกายออร์โธด็อกซ์ของรัสเซีย ถึงแม้ว่าในเวลานั้นกฎหมายของคอมมิวนิสต์จะห้ามทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ตาม เขาเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะเลียนแบบดาราในหนังที่แสดงเป็นเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ ซึ่งความชอบในวัยเด็กอันนี้คงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ปูตินเข้ามาทำงานกับเคจีบีเมื่อตอนโต (เคจีบีเป็นหน่วยงานตำรวจลับของสหภาพโซเวียตในสมัยนั้น)
พ่อของปูตินเสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1999 และแม่ก็เสียชีวิตก่อนพ่อเพียง 6 เดือนเท่านั้น อันเป็นปีที่ปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี น่าเสียดายว่าพ่อและแม่ของเขาไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของลูกชายคนเดียว
ปูตินเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยรัฐเลนินกราด ขณะศึกษาเขาได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต เขาเรียนจบในปี ค.ศ. 1975 ขณะอายุได้ 23 ปี และหลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าเป็นสายลับที่สำนักข่าวกรองเคจีบีของอดีตสหภาพโซเวียตทันที โดยทำงานที่สำนักงานอำนวยการเคจีบีในกรุงเลนินกราด ปูตินทำงานเป็นเคจีบีเป็นเวลานานถึง 17 ปี ปูตินก็สำเร็จผ่านการฝึกฝนต่างๆ ของหน่วยเคจีบี และอีกสองปีต่อมาก็เข้ารับการฝึกทักษะอื่นๆ ของการเป็นสายลับต่างประเทศในกรุงมอสโก พอฝึกเสร็จเขาก็เข้าประจำการในหน่วยสายลับต่างชาติของเคจีบีจนกระทั่งปี ค.ศ. 1983 ได้รับยศพลตรีเมื่อปี ค.ศ. 1984
...ต่อ....
...ต่อ...
ตอบลบช่วงปี ค.ศ. 1985 – 1990 เขาถูกส่งไปประจำการอยู่ในกรุงเดรสเด็น ประเทศเยอรมนีตะวันออก ซึ่งในเวลานั้นยังไม่รวมตัวกับประเทศเยอรมนีตะวันตก หนึ่งในงานที่ปูตินรับผิดชอบคือติดตามบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีแนวความคิดนิยมตะวันตก เพราะเยอรมนีถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศเนื่องจากความขัดแย้งของสองมหาอำนาจรัสเซียและอเมริกา ฝ่ายตะวันออกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ดูแลโดยรัสเซีย ฝ่ายตะวันตกเป็นประชาธิปไตยดูแลโดยอเมริกา
หลังจากที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย เขาถูกเรียกตัวกลับรัสเซีย และได้เข้าทำงานที่มหาวิทยาลัยรัฐเลนินกราดฝ่ายการวิเทศสัมพันธ์ และยังเป็นเคจีบีไปพร้อมๆ กัน เขาลาออกจากการทำงานด้านความมั่นคงของรัฐนี้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1991 ในช่วงที่หน่วยเคบีจีล้มเหลวจากการสนับสนุนให้โค่นล้มประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟ หลังจากลาออกแล้ว เขาได้ร่วมงานกับ นายอานาโตลี ซอบแชก นายกเทศมนตรีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และอีก 3 ปีต่อมาปูตินก็ก้าวขึ้นมาเป็นรองนายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก จากนั้นเขาก็ได้รับชักชวนให้ไปทำงานกับรัฐบาลของประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ในกรุงมอสโกเมื่อปี ค. ศ. 1997 โดยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยบริหารเครมลิน มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอกฎหมายต่างๆ ให้กับเยลต์ซิน และในปี ค.ศ. 1997 ปูตินได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานข่าวกรอง ภายใน 1 ปีถัดมาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ
ในช่วงเวลานั้นเยลต์ซินสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก ซึ่งช่วงเวลานั้นเยลต์ซินแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี 5 คนภายใน 17 เดือน โดยคนหลังสุดคือปูติน ในปี ค.ศ. 1999 เยลต์ซินจึงประกาศให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประกาศว่าปูตินคือทายาททางการเมืองที่เลือกแล้ว และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติให้รักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งสภาดูมาได้พิจารณาให้ความเห็นชอบการเสนอแต่งตั้งในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1999
ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปูตินมีหน้าที่ต้องมาจัดการสงครามในเชชเนีย ซึ่งเป็นรัฐที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต อยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย เขาได้รับความชื่นชมจากคนรัสเซียว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะส่งทหารเข้าไปปราบปรามเชชเนียเป็นครั้งที่ 2 ต่อมาในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1999 เกิดปัญหาเรื่องเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งของรัฐสภา ช่วงปีใหม่ประธานาธิบดีเยลต์ซินจึงประกาศลาออกอย่างกะทันหันโดยแต่งตั้งปูติน ทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดี จนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ ปูตินเปิดสงครามลุยเชชเนีย ทั้งๆ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตะวันตก แต่ชาวรัสเซียชื่นชมปูตินมากเพราะสามารถขับไล่พวกกบฏ
เชเชนและสามารถคุมเชชเนียได้อีกครั้ง
...ต่อ...
...ต่อ...
ตอบลบการลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระของประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 นั้น เพื่อที่จะต้องการถ่ายทอดอำนาจให้แก่ปูติน ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าปูติน ได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 52.5 โดยผู้ได้รับเลือกตั้งประธานาธิบดีเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับหน้าที่ 30 วันนับจากการประกาศผลอย่างเป็นทางการ คือในวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 ปูตินเป็นประธานาธิบดีเมื่อตอนที่มีอายุได้ 47 ปีเท่านั้น เขาได้ยืนยันนโยบายว่าจะคงการปฏิรูปประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดต่อไป ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีต่อประเทศตะวันตกว่า ในยุคของเขาจะนำรัสเซียกลับคืนสู่การเป็นมหาอำนาจและมีบทบาทนำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เห็นได้จากการที่เขาปรับความสัมพันธ์กับนาโต ผลักดันให้สภาดูมาให้สัตยาบันสนธิสัญญา START-2 เพื่อเป็นการเอาใจและปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา การเดินทางเยือนอังกฤษเป็นประเทศแรกภายหลังที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ย้ำให้เห็นถึงว่าปูตินให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกเป็นลำดับแรก เพื่อมิให้รัสเซียถูกโดดเดี่ยวออกจากเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
เมื่อปูตินเข้ามาเป็นประธานาธิบดี เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของรัสเซียดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ฟื้นตัวดีขึ้น แต่ปูตินก็มีเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์อยู่พอสมควรทั้งเรื่องการเป็นผู้นำที่ปราบปรามเชชเนียอย่างรุนแรง การกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างเช่นการตั้งข้อหาต่างๆ และดำเนินคดีกับคนเหล่านี้ อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 นั้น เขาได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นถึงร้อยละ 71.2 ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความนิยมในตัวเขาที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ประชาชนรัสเซีย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของรัสเซีย ในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีการวิเคราะห์ว่า ชาวรัสเซียมักจะชื่นชอบผู้นำที่เข้มแข็ง เนื่องจากเชื่อว่า จะสามารถปกครองประเทศที่มีขนาดใหญ่เช่นรัสเซียได้ ซึ่งประธานาธิบดีปูติน ได้แสดงออกถึงคุณลักษณะดังกล่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการใช้นโยบายและมาตรการที่เด็ดขาดและจริงจังในการแก้ไขปัญหาเชชเนีย
...ต่อ...
...ต่อ...
ตอบลบปูตินมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษและเยอรมันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะภาษาเยอรมันที่ปูตินสามารถพูดได้เหมือนเจ้าของภาษา เพราะครอบครัวของเขาสมัยเด็กๆ จะคุยกันเป็นภาษาเยอรมัน เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้เมื่อตอนไปทำงานเป็นสายลับที่เยอรมนีตะวันออก นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายเขาเล่นแซมโบได้แก่งมาก และยูโดมาตั้งแต่อายุ 11 ปี คนที่จะทำงานเป็นสายลับได้จะต้องเรียนรู้การป้องกันตัว นอกจากนี้เขายังชนะการแข่งขันเป็นแชมป์การแข่งขันแซมโบของกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบอร์กหลายครั้งและยังได้รับ Master of Sports จากแซมโบ และต่อมาก็ได้จากยูโด เขาเป็นผู้นำคนแรกที่ได้สายดำจากการเล่นยูโด และยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับยูโดสองเล่ม เล่มแรกเขียนเกี่ยวกับตัวเขาเองกับการเล่นยูโดเป็นภาษารัสเซีย และเล่มที่สองเขียนเกี่ยวกับประวัติ ทฤษฎี และการเล่นและหัดยูโด เล่มที่สองนี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้งเมื่อตอนปูตินไปเยือนญี่ปุ่นเขาได้รับการเชิญให้ไปสาธิตการเล่นยูโดโดยใช้เทคนิคพิเศษอีกด้วย
ผลจากความที่เขาเป็นนักกีฬาจะเห็นได้ว่าปูตินเป็นผู้นำที่มีหุ่นสะโอดสะองมากแตกต่างจากผู้นำของประเทศอื่นๆ ที่ค่อนข้างท้วมหรืออ้วน หรืออาจจะเป็นเพราะเขาดูแลรักษาสุขภาพร่างกายเป็นอย่างดี เขาไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้าจัด และเป็นคนรักสัตว์ เขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีขาวมีชื่อว่าทอสก้า และชอบดูการแข่งม้า
ปูตินแต่งงานกับลุดมิลา สเครบเนวา (Lyudmila Shkrebneva) เมื่อวันที่ 28 เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1983 ลุดมิล่าเคยเรียนทางด้านภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งเเดียวกันกับที่ปูตินเคยเรียนพอเรียนจบมาก็ทำงานเป็นบริกรหญิงบนเครื่องบินในกรุงคาลินินกราด จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นครูสอนหนังสือ เมื่อปี ค.ศ. 1958 และมีลูกสาวสองคน คือมาเรีย เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1985 และแคทย่า เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1986 ลูกสาวทั้งสองต่างเกิดในกรุงเดรสเด็น ประเทศเยอรมนี และตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเยอรมันกรุงมอสโก
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2550 โดยวิกรม กรมดิษฐ์