สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ
Henry VIII of England
พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ (อังกฤษ: Henry VIII of England – พ.ศ. 2034 - 2090 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2052 - 2090) ประสูติที่พระราชวังกรีนิช ลอนดอน ใน ราชอาณาจักรอังกฤษ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ ทันทีที่เสด็จขึ้นครองราชย์ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแคเธอรีนแห่งอารากอน ซึ่งเป็นม่ายของพระเชษฐาอาเธอร์
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ไทย สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษทรงครองราชย์ในเวลาเดียวกันกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช) กับพระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า) ในสมัยกรุงศรีอยุธยาในฐานะของสมาชิกสันนิบาตอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy League) พระองค์ได้ทรงรุกรานฝรั่งเศส (พ.ศ. 2055) ได้รับชัยชนะในสงครามแห่งสเปอร์ (พ.ศ. 2056) ในระหว่างที่ทรงประทับในต่างประเทศทหารสก็อตก็รบแพ้ที่ฟล็อตเดน ในปี พ.ศ. 2064 ทรงตีพิมพ์หนังสือว่าด้วยการเข้าพิธีทำสัตย์สาบานเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชนเพื่อตอบรับนิกายลูเธอร์ (โปรเตสแตนท์) เรื่อง “ผู้ปกป้องศรัทธา” (Defender of the Faith) ที่ได้รับจากพระสันตะปาปา และนับจาก พ.ศ. 2070 พระองค์ได้พยายามหย่ากับพระนางแคทรีนซึ่งราชบุตรทุกพระองค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เป็นทารกยกเว้นเจ้าหญิงแมรี พระองค์ทรงพยายามกดดันพระสันตะปาปาโดยการทำให้พระคาทอลิกรู้สึกต่ำต้อยและยังได้ทรงท้าทายศาสนาแคทอลิกด้วยการอภิเษกกับเจ้าหญิงแอนน์ โบลีน (พ.ศ. 2076) ในปีต่อมาได้มีพระบรมราชโองการประกาศให้การอภิเษกกับพระนางแคทรีนเป็นโมฆะ และมีประกาศให้พระมหากษัตริย์คือพระองค์ทรงเป็นพระประมุขของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ (Church of England) แต่เพียงพระองค์เดียว นโยบายการปราบปราบฝ่ายศาสนาได้เริ่มอุบัติขึ้น เมื่อพระนางแคเทอรีนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2079 และพระนางแอนน์ โบลีนถูกประหารชีวิตฐานมีชู้ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 จึงได้อภิเษกสมรสครั้งที่สามกับสมเด็จพระราชินีเจน เซมัวร์ซึ่งก็ได้สิ้นพระชนม์เสียอีก แต่ก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสซึ่งต่อมาคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 แห่งอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2083 ทรงอภิเษกเป็นครั้งที่สี่กับเจ้าหญิงแคทรีน เฮาวาร์ดโดยหวังการมีสายสัมพันธ์กับฝ่ายโปรเตสแตนท์เยอรมัน แต่พระนางก็ถูกประหารชีวิตอีกด้วยข้อหามีชู้เช่นกันในสองปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2086 ทรงอภิเษกเป็นครั้งสุดท้ายกับเจ้าหญิงแคทรีน พาร์ซึ่งกลายเป็นม่ายของพระองค์
ในช่วงหลังๆ แห่งรัชสมัยของพระองค์ได้มีการทำสงครามกับฝรั่งเศสและสกอตแลนด์บ่อยครั้งก่อนการสงบศึกกับฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2089 พระราชโอรสคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทน
พระองค์ทรงมีพระมเหสีถึง 6 พระองค์ได้แก่
สมเด็จพระราชินีแคทเธอรีน แห่งอรากอน
- เจ้าหญิงแคเธอรีนแห่งอารากอน (อังกฤษ: Catherine of Aragon, Katharine of Aragon; พ.ศ. 2028 — พ.ศ. 2079) สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ พระมเหสีพระองค์แรกของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ (พ.ศ. 2052-2090)
ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกในปี พ.ศ. 2044 กับเจ้าชายอาร์เธอร์ พระโอรสของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ (พ.ศ. 2029-2045) แต่เมื่อเจ้าชายสิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เจ้าหญิงแคเธอรีนก็ได้ทรงรับหมั้นกับเจ้าชายที่เป็นน้องสามี ซึ่งต่อมาคือพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 11 ขวบ และได้อภิเษกสมรสกันในเวลาต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2052 และมีโอรสธิดารวม 5 พระองค์ แต่ก็มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวที่มีชีวิต คือเจ้าหญิงแมรี นอกนั้นสิ้นพระชนม์ทั้งหมดตั้งแต่อยู่ในวัยทารก ในปี พ.ศ. 2070 พระเจ้าเฮนรีได้เริ่มกระบวนการหย่าร้างกับพระนางซึ่งเป็นผลสำเร็จใน 6 ปีต่อมาโดยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ต้องทรงแตกหักกับพระสันตะปาปาเป็นเหตุให้มีการแปลงรูปทางศาสนาในอังกฤษเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ พระนางแคเธอรีนได้ทรงออกจากตำแหน่งพระราชินีปลีกวิเวกไปปฏิบัติศานาอย่างเคร่งครัดจนสิ้นพระชนม์
แอนน์ โบลีน สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ | ||||
---|---|---|---|---|
แอนน์ โบลีน (อังกฤษ: Anne Boleyn) ทรงเป็นบุตรีของเซอร์ โธมัส โบลีน กับเลดี้ เอลิซาเบธ โบลีน และได้เป็นพระมเหสีองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และเป็นพระราชมารดาของเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ (ต่อมาเสด็จขึ้นเถลิงราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1)
พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กับสมเด็จพระราชินีแอนน์เป็นจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราว พระราชอำนาจหลังพระราชบัลลังก์ฉายเด่นชัดจากสมเด็จพระราชินีพระองค์นี้ ข้าราชการแบ่งฝักฝ่ายเป็นสองพวกคือ "คนของพระราชา" และ "คนของพระราชินี" แม้จนเมื่อท้ายที่สุดแล้วสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 จะทรงมีชัยชนะเหนือพระมเหสี สามารถสำเร็จโทษพระนางได้ ด้วยการกล่าวหาว่าพระนางสมสู่กับน้องชายแท้ๆ ของพระนางเอง แต่ความแตกร้าวก็ยังคงมีอยู่ไม่รู้จบ พระองค์ถูกกล่าวขานถึงว่า "ราชินีแห่งอังกฤษที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมี"
พระนางแคทเทอรีนต้องสูญเสียตำแหน่งราชินีให้แก่แอนน์ โบลีน พระนางแอนน์ โบลีนได้ทำพิธีสวมมงกุฎราชินีในวันที่1 มิถุนายน พ.ศ. 2076 พระสันตปาปากรุงโรมได้ทำปัพพาชนียกรรมพระเจ้าเฮนรีและโธมัส เครนเมอร์ พระนางแคทเทอรีนต้องถูกขับไล่ไปจากพระราชวังเนื่องจากทรงศรัทธาในโรมันคาทอลิก นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์นั้นควบคุมโดยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 มิใช่สันตปาปาแห่งโรม พระนางแอนน์ โบลีนนั้นฝักใฝ่นิกายนี้มาก
พระธิดานั้นทรงเป็นโปรแตสแตนต์ แต่พระนางทรงหวั่นพระทัยว่าพระธิดาอาจถูกข่มขู่โดยเจ้าหญิงแมรีพระธิดาของพระนางแคทเทอรีนแห่งอรากอนซึ่งเป็นโรมันคาทอลิก พระเจ้าเฮนรีจึงส่งเจ้าหญิงแมรีไปที่อื่นเพื่อให้พระนางแอนน์สบายพระทัย
พระนางแอนน์ทรงมีบ่าวรับใช้จำนวนมากซึ่งมาจากพระนางแคทเทอรีนแห่งอรากอน มีบ่าวรับใช้มากกว่า 250 คน และนางสนองโอษฐ์มากกว่า 60 คน พระนางมักจะจ้างอนุศาสนาจารย์มามาก
พระนางแอนน์ไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใดๆทรงใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย พระนางพยายามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ข้าราชการแบ่งฝักฝ่ายเป็นสองพวกคือ "คนของพระราชา" และ "คนของพระราชินี" และได้มีการสั่งประหารศัตรูของพระนางคือ บิชอปแห่งโรเชสเตอร์,จอห์น ฟริชเชอร์ และ โธมัส มัวร์ ผู้ซึ่งต่อต้านนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์
การกำเนิดของเจ้าหญิงอลิซาเบธ
หลังจากพิธีสวมมงกุฎทรงมีพระประสูติกาลที่พระราชวังกรีนิช ได้ทรงคลอดก่อนกำหนดในวันที่7 กันยายน พ.ศ. 2076พระนางได้ให้กำเนิดพระธิดา พระเจ้าเฮนรีทรงให้พระนามว่า อลิซาเบธ ตามพระนามของพระมารดาของพระเจ้าเฮนรี คือพระนางเอลิซาเบธแห่งยอร์คพระธิดานั้นทรงเป็นโปรแตสแตนต์ แต่พระนางทรงหวั่นพระทัยว่าพระธิดาอาจถูกข่มขู่โดยเจ้าหญิงแมรีพระธิดาของพระนางแคทเทอรีนแห่งอรากอนซึ่งเป็นโรมันคาทอลิก พระเจ้าเฮนรีจึงส่งเจ้าหญิงแมรีไปที่อื่นเพื่อให้พระนางแอนน์สบายพระทัย
พระนางแอนน์ทรงมีบ่าวรับใช้จำนวนมากซึ่งมาจากพระนางแคทเทอรีนแห่งอรากอน มีบ่าวรับใช้มากกว่า 250 คน และนางสนองโอษฐ์มากกว่า 60 คน พระนางมักจะจ้างอนุศาสนาจารย์มามาก
การขัดแย้งกับพระเจ้าเฮนรี
ในช่วงแรกชีวิตคู่ก็มีความสุข แต่พอนานๆเข้าความสัมพันธ์เริ่มตึงเครียด พระเจ้าเฮนรีทรงไม่ชอบท่าทางของแอนน์ที่ทำเพื่อตนเองและชอบโต้แย้งกับพระองค์ หลังจากการล้มเหลวจากการใด้บุตรในปีพ.ศ. 2077 พระเจ้าเฮนรีมองการล้มเหลวจากการให้บุตรชายของแอนน์ซึ่งเป็นการทรยศพระองค์ ในวันคริสต์มาสพระเจ้าเฮนรีได้สนทนากับโธมัส เครนเมอร์ และ โธมัส ครอมเวลล์ในเรื่องการขับไล่พระนางแอนน์ โบลีน และให้พระนางแคทเทอรีน แห่งอรากอนกลับมาพระนางแอนน์ไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใดๆทรงใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย พระนางพยายามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ข้าราชการแบ่งฝักฝ่ายเป็นสองพวกคือ "คนของพระราชา" และ "คนของพระราชินี" และได้มีการสั่งประหารศัตรูของพระนางคือ บิชอปแห่งโรเชสเตอร์,จอห์น ฟริชเชอร์ และ โธมัส มัวร์ ผู้ซึ่งต่อต้านนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์
หายนะและการประหารชีวิต
ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2079 ข่าวการสวรรคตของพระนางแคทเทอรีนก็ได้ทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าเฮนรีและพระนางแอนน์ ทั้งคู่ได้ทรงฉลองพระองค์สีเหลืองซึ่งเป็นสีที่ไม่เป็นมงคลสำหรับสเปนจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ หลังจากมีการชันสูตรพระศพของพระนางแคทเทอรีน แห่งอรากอนได้พบว่าพระหฤทัยของพระนางกลายเป็นสีดำ บางคนเชื่อว่าไม่พระเจ้าเฮนรีก็พระนางแอนน์ได้ลอบวางยาพิษพระนางแคทเทอรีน แต่บ้างก็ว่าพระเจ้าเฮนรีทรงเสียพระทัยในการจากไปของพระนางแคทเทอรีนอย่างมาก
พระนางแอนน์ทรงพระครรภ์อีกครั้ง ในเดือนต่อมาพระเจ้าเฮนรีได้ทรงตกม้าจากการแข่งขันทำให้ทรงบาดเจ็บมาก ดูเหมือนว่าพระองค์อาการหนักมาก เมื่อข่าวล่วงรู้ถึงพระนางแอนน์ ทำให้พระนางตกพระทัยเป็นอันมากจนถึงขนาดทรงแท้งทารกชายในครรภ์ที่มีอายุเพียง 15 สัปดาห์ เหตุการณ์ครั้งนี้บังเกิดขึ้นในวันฝังพระศพของพระนางแคทเทอรีน แห่งอรากอน วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2079 พระนางแอนน์จึงมีบุตรีคนเดียวที่ดำรงพระชนม์ชีพ คือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ เหตุการ์ณเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อนางเจน เซมัวร์นางสนองโอษฐ์ในพระราชาเข้ามาอยู่ในราชวัง
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2079 พระนางแอนน์ได้ถูกจับกุมและส่งไปหอคอยแห่งลอนดอน นักโทษคนอื่นได้รับการปลดปล่อยเหลือแต่พระนางแอนน์และจอร์จ โบลีน 3 วันต่อมาแอนน์ได้ถูกกล่าวหาว่าได้คบชู้สู่ชายกับสายเลือดเดียวกัน และทรงเป็นผู้ทรยศ
ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2079 ข่าวการสวรรคตของพระนางแคทเทอรีนก็ได้ทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าเฮนรีและพระนางแอนน์ ทั้งคู่ได้ทรงฉลองพระองค์สีเหลืองซึ่งเป็นสีที่ไม่เป็นมงคลสำหรับสเปนจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ หลังจากมีการชันสูตรพระศพของพระนางแคทเทอรีน แห่งอรากอนได้พบว่าพระหฤทัยของพระนางกลายเป็นสีดำ บางคนเชื่อว่าไม่พระเจ้าเฮนรีก็พระนางแอนน์ได้ลอบวางยาพิษพระนางแคทเทอรีน แต่บ้างก็ว่าพระเจ้าเฮนรีทรงเสียพระทัยในการจากไปของพระนางแคทเทอรีนอย่างมาก
พระนางแอนน์ทรงพระครรภ์อีกครั้ง ในเดือนต่อมาพระเจ้าเฮนรีได้ทรงตกม้าจากการแข่งขันทำให้ทรงบาดเจ็บมาก ดูเหมือนว่าพระองค์อาการหนักมาก เมื่อข่าวล่วงรู้ถึงพระนางแอนน์ ทำให้พระนางตกพระทัยเป็นอันมากจนถึงขนาดทรงแท้งทารกชายในครรภ์ที่มีอายุเพียง 15 สัปดาห์ เหตุการณ์ครั้งนี้บังเกิดขึ้นในวันฝังพระศพของพระนางแคทเทอรีน แห่งอรากอน วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2079 พระนางแอนน์จึงมีบุตรีคนเดียวที่ดำรงพระชนม์ชีพ คือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ เหตุการ์ณเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อนางเจน เซมัวร์นางสนองโอษฐ์ในพระราชาเข้ามาอยู่ในราชวัง
การคบชู้สู่ชาย การร่วมประเวณีกับผู้ใกล้ชิด และการทรยศ
ในวันสุดท้ายของเดือนเมษายน นักดนตรีชาวเฟลมมิชที่พระนางแอนน์เรียกไปรับใช้ชื่อว่า มาร์ก สเมียตัน ได้ถูกจับกุมและทรมานร่างกาย เพราะได้ถูกตั้งข้อหาว่าคบชู้กับพระราชินีแต่ระหว่างการทรมานเขาได้สารภาพผิด ต่อมาชาวต่างชาติ เฮนรี นอร์ริส ได้ถูกจับในเดือนพฤษภาคมแต่เนื่องจากเขาเป็นชนชั้นสูงจึงไม่ถูกทรมาน เขาได้ปฏิเสธและสาบานว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ 2 วันต่อมาเซอร์ฟรานซิส เวสตันได้ถูกจับกุมในข้อกล่าวหาเดียวกัน วิลเลียม แบร์ตันบ่าวรับใช้ของพระเจ้าเฮนรีก็ถูกจับกุมในข้อกล่าวหานี้เช่นกัน สุดท้ายก็มีการจับกุมพระอนุชาของพระนางแอนน์ จอร์จ โบลีนในข้อหาคบชู้กับสายเลือดเดียวกันวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2079 พระนางแอนน์ได้ถูกจับกุมและส่งไปหอคอยแห่งลอนดอน นักโทษคนอื่นได้รับการปลดปล่อยเหลือแต่พระนางแอนน์และจอร์จ โบลีน 3 วันต่อมาแอนน์ได้ถูกกล่าวหาว่าได้คบชู้สู่ชายกับสายเลือดเดียวกัน และทรงเป็นผู้ทรยศ
เวลาสุดท้าย
หลังจากการตัดสิน จอร์จ โบลีนพระอนุชาได้ถูกประหารในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2079 แอนโทนี คิงส์ตันผู้เป็นยามเฝ้าประตูได้บันทึกไว้ว่า พระนางแอนน์นั้นดูมีความสุขและเตรียมตัวเตรียมใจที่จะได้รับการประหาร พระเจ้าเฮนรีได้ทำตามคำขอของพระนางแอนน์เป็นครั้งสุดท้ายโดยได้จ้างเพรชฆาตจากฝรั่งเศสมาทำการประหารโดยใช้ดาบตามธรรมเนียมฝรั่งเศส เนื่องจากพระนางแอนน์กลัวการประหารด้วยขวานทื่อๆตามธรรมเนียมอังกฤษ ในเช้าของวันที่ 19 ทหารได้มาเชิญพระนางเข้ารับการประหาร แอนโทนี คิงส์ตันได้เขียนบันทึกเป็นภาษาอังกฤษว่า- สมเด็จพระราชินีเจน เซมัวร์
เจน ซีมัวร์ (born c. 1507/1508 – d. 24 October 1537) เป็นธิดาของเซอร์จอห์น ซีมัวร์ และมากาเร็ตเวนวอท หลังการทรงงานในฐานะนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระราชินีแคทเธอรีน แห่งอรากอน และสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีน พระองค์ก็ทรงดึงดูดความสนใจจากสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ
ในฐานะสมเด็จพระราชินี เจนทรงเคร่งขรึมและไว้พระองค์ มีนางพระกำนัลเพียงไม่กี่คนคอยสนองงาน 2 คนในจำนวนนั้นคือน้องสาวและน้องสะใภ้ของพระองค์ ในปีพ.ศ. 2079 เจนทรงเริ่มที่จะมีบทบาททางการเมือง หากแต่ทรงถูกเตือนโดยสมเด็จพระเจ้าเฮนรี่ว่า "อย่าลืมว่าราชินีองค์ก่อนถูกตัดหัวเพียงเพราะวุ่นวายทางการเมือง"
สมเด็จพระราชินีเจนมีพระประสูติกาล เจ้าฟ้าชายรัชทายาท เอ็ดเวิร์ด (สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 แห่งอังกฤษ)และสวรรคตหลังจากนั้น
มีคนบางคนกล่าวไว้ว่า เจน ซีมัวร์ เป็นพระราชินีที่พระเจ้าเฮนรีที่ 8 รักอย่างแท้จริง และทรงโปรดปรานมากที่สุด พระองค์ไม่เคยรักใครอย่างจริงจังอีกเลย หลังจากพระราชินีเจน ซีมัวร์ สิ้นพระชนม์ พระราชินีเจน ซีมัวร์ ก็ทรงทำให้พระองค์ไม่เคยผิดหวัง โดยการประสูติพระราชโอรส
ในฐานะสมเด็จพระราชินี เจนทรงเคร่งขรึมและไว้พระองค์ มีนางพระกำนัลเพียงไม่กี่คนคอยสนองงาน 2 คนในจำนวนนั้นคือน้องสาวและน้องสะใภ้ของพระองค์ ในปีพ.ศ. 2079 เจนทรงเริ่มที่จะมีบทบาททางการเมือง หากแต่ทรงถูกเตือนโดยสมเด็จพระเจ้าเฮนรี่ว่า "อย่าลืมว่าราชินีองค์ก่อนถูกตัดหัวเพียงเพราะวุ่นวายทางการเมือง"
สมเด็จพระราชินีเจนมีพระประสูติกาล เจ้าฟ้าชายรัชทายาท เอ็ดเวิร์ด (สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 แห่งอังกฤษ)และสวรรคตหลังจากนั้น
มีคนบางคนกล่าวไว้ว่า เจน ซีมัวร์ เป็นพระราชินีที่พระเจ้าเฮนรีที่ 8 รักอย่างแท้จริง และทรงโปรดปรานมากที่สุด พระองค์ไม่เคยรักใครอย่างจริงจังอีกเลย หลังจากพระราชินีเจน ซีมัวร์ สิ้นพระชนม์ พระราชินีเจน ซีมัวร์ ก็ทรงทำให้พระองค์ไม่เคยผิดหวัง โดยการประสูติพระราชโอรส
- สมเด็จพระราชินีแอนน์แห่งคลีฟ
สมเด็จพระราชินีแอนน์แห่งอังกฤษ หรือ แอนน์แห่งคลีฟส์ (อังกฤษ: Anne of Cleves) แอนน์แห่งคลีฟส์เสด็จพระราชสมภพ 22 กันยายน พ.ศ. 2058 สวรรคต 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2100 ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีอัครมเหสีองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ระหว่างวันที่ 6 มกราคม-9 กรกฎาคม พ.ศ. 2083
แอนน์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2058 เป็นธิดาในจอห์นที่ 3 ดยุคแห่งคลีฟส์ผู้ครองอาณาจักรดยุคแห่งคลีฟส์ในเยอรมนี/เนเธอร์แลนด์ปัจจุบัน จากพระสาทิสลักษณ์ที่ปรากฏในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ในประเทศฝรั่งเศสจะเห็นได้ว่าแอนน์มีบาดแผลทั่วทั้งวรองค์ เชื่อกันว่าเป็นเพราะโรคอีสุกอีใส แอนน์และเฮนรี่ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน 7 ชั้น
สมเด็จพระราชินีแอนน์ถูกถอดลงจากยศ "สมเด็จพระราชินี" และทรงดำรงพระอิสริยยศ "เจ้าหญิง" แห่งอังกฤษแทน พระบรมราชสวามีตรัสเรียกพระองค์ว่า "น้องสาว" แอนน์ทรงเป็นอัครมเหสีเพียงพระองค์เดียวที่เสด็จดำรงพระชนม์อยู่จนถึงรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ
- สมเด็จพระราชินีแคเธอรีน ฮอเวิร์ด
สมเด็จพระราชินีแคทเธอรีนแห่งอังกฤษ เดิมชื่อ แคทเธอรีน ฮอเวิร์ด (อังกฤษ: Catherine Howard) เสด็จพระราชสมภพในราว พ.ศ. 2068 สวรรคต 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2085 เป็นสมเด็จพระราชินีอัครมเหสีพระองค์ที่ 5 ของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ และบางครั้งบางคราวเป็นที่รู้จักจากพระราชสมัญญาที่องค์กษัตริย์ทรงพระราชดำรัสเรียกว่า "กุหลาบที่ไร้บัลลังก์" สถานที่พระราชสมภพนั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดกันว่าเป็นที่ลอนดอน พระองค์เป็นธิดาของลอร์ดเอ็ดมัด ฮอเวิร์ด บุตรของดยุคแห่งนอฟอล์ค แคเธอรีนทรงเสกสมรสกับสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2083 ที่พระราชวังโอ๊ตแลนด์ แทบจะทันทีหลังจากที่สมเด็จพระพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงหย่าขาดจากสมเด็จพระราชินีแอนน์ แห่งคลีฟ สมเด็จพระราชินีแคเธอรีนทรงถูกสำเร็จโทษภายหลังจากการเสกสมรสไม่ถึง 2 ปี พระราชดำรัสสุดท้ายคือ
"I die a Queen, but I would rather have died the wife of Culpepper."
"เราตายอย่างพระราชินีองค์หนึ่ง แต่เราจะพึงพอใจมากกว่าหากเราตายในฐานะภรรยาของคัลเปเปอร์"
สมเด็จพระราชินีแคเธอรีน ถูกสำเร็จโทษในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2085 พระศพถูกฝังไว้ให้พื้นโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ เคียงข้างกับสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีน
- สมเด็จพระราชินีแคทเธอรีน พารร์
สมเด็จพระราชินีแคทเธอรีน พารร์ (พ.ศ. 2055 - 5 กันยายน พ.ศ. 2091) เป็นพระมเหสีองค์สุดท้ายของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และได้เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษตั้งแต่ พ.ศ. 2086 - พ.ศ. 2090 หลังจากสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 สิ้นพระชนม์ก์กลายเป็นสตรีสูงศักดิ์ พระนางเป็นราชินีอังกฤษที่สมรสมากที่สุด
Henry VIII 1509-47 AD
ตอบลบHenry VIII, born in 1491, was the second son of Henry VII and Elizabeth of York. The significance of Henry's reign is, at times, overshadowed by his six marriages: dispensing with these forthwith enables a deeper search into the major themes of the reign. He married Catherine of Aragon (widow of his brother, Arthur) in 1509, divorcing her in 1533; the union produced one daughter, Mary. Henry married the pregnant Anne Boleyn in 1533; she gave him another daughter, Elizabeth, but was executed for infidelity (a treasonous charge in the king's consort) in May 1536. He married Jane Seymour by the end of the same month, who died giving birth to Henry's lone male heir, Edward, in October 1536. Early in 1540, Henry arranged a marriage with Anne of Cleves, after viewing Hans Holbein's beautiful portrait of the German princess. In person, alas, Henry found her homely and the marriage was never consummated. In July 1540, he married the adulterous Catherine Howard - she was executed for infidelity in March 1542. Catherine Parr became his wife in 1543, providing for the needs of both Henry and his children until his death in 1547.
The court life initiated by his father evolved into a cornerstone of Tudor government in the reign of Henry VIII. After his father's staunch, stolid rule, the energetic, youthful and handsome king avoided governing in person, much preferring to journey the countryside hunting and reviewing his subjects. Matters of state were left in the hands of others, most notably Thomas Wolsey, Archbishop of York. Cardinal Wolsey virtually ruled England until his failure to secure the papal annulment that Henry needed to marry Anne Boleyn in 1533. Wolsey was quite capable as Lord Chancellor, but his own interests were served more than that of the king: as powerful as he was, he still was subject to Henry's favor - losing Henry's confidence proved to be his downfall. The early part of Henry's reign, however, saw the young king invade France, defeat Scottish forces at the Battle of Foldden Field (in which James IV of Scotland was slain), and write a treatise denouncing Martin Luther's Reformist ideals, for which the pope awarded Henry the title "Defender of the Faith".
ต่อ...
ตอบลบThe 1530's witnessed Henry's growing involvement in government, and a series of events which greatly altered England, as well as the whole of Western Christendom: the separation of the Church of England from Roman Catholicism. The separation was actually a by-product of Henry's obsession with producing a male heir; Catherine of Aragon failed to produce a male and the need to maintain dynastic legitimacy forced Henry to seek an annulment from the pope in order to marry Anne Boleyn. Wolsey tried repeatedly to secure a legal annulment from Pope Clement VII, but Clement was beholden to the Charles V, Holy Roman Emperor and nephew of Catherine. Henry summoned the Reformation Parliament in 1529, which passed 137 statutes in seven years and exercised an influence in political and ecclesiastic affairs which was unknown to feudal parliaments. Religious reform movements had already taken hold in England, but on a small scale: the Lollards had been in existence since the mid-fourteenth century and the ideas of Luther and Zwingli circulated within intellectual groups, but continental Protestantism had yet to find favor with the English people. The break from Rome was accomplished through law, not social outcry; Henry, as Supreme Head of the Church of England, acknowledged this by slight alterations in worship ritual instead of a wholesale reworking of religious dogma. England moved into an era of "conformity of mind" with the new royal supremacy (much akin to the absolutism of France's Louis XIV): by 1536, all ecclesiastical and government officials were required to publicly approve of the break with Rome and take an oath of loyalty. The king moved away from the medieval idea of ruler as chief lawmaker and overseer of civil behavior, to the modern idea of ruler as the ideological icon of the state.
The remainder of Henry's reign was anticlimactic. Anne Boleyn lasted only three years before her execution; she was replaced by Jane Seymour, who laid Henry's dynastic problems to rest with the birth of Edward VI. Fragmented noble factions involved in the Wars of the Roses found themselves reduced to vying for the king's favor in court. Reformist factions won the king's confidence and vastly benefiting from Henry's dissolution of the monasteries, as monastic lands and revenues went either to the crown or the nobility. The royal staff continued the rise in status that began under Henry VII, eventually to rival the power of the nobility. Two men, in particular, were prominent figures through the latter stages of Henry's reign: Thomas Cromwell and Thomas Cranmer. Cromwell, an efficient administrator, succeeded Wolsey as Lord Chancellor, creating new governmental departments for the varying types of revenue and establishing parish priest's duty of recording births, baptisms, marriages and deaths. Cranmer, Archbishop of Canterbury, dealt with and guided changes in ecclesiastical policy and oversaw the dissolution of the monasteries.
Henry VIII built upon the innovations instituted by his father. The break with Rome, coupled with an increase in governmental bureaucracy, led to the royal supremacy that would last until the execution of Charles I and the establishment of the Commonwealth one hundred years after Henry's death. Henry was beloved by his subjects, facing only one major insurrection, the Pilgrimage of Grace, enacted by the northernmost counties in retaliation to the break with Rome and the poor economic state of the region. History remembers Henry in much the same way as Piero Pasqualigo, a Venetian ambassador: "... he is in every respect a most accomplished prince."