พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนปาล
พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนปาลเรียกโดยราชประเพณีว่า "ศรีปัญจมหาราชธิราช" (เนปาลี: श्री ५ महाराजधिराज, Śrī Pañca Mahārājdhirāj) และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีแห่งราชอาณาจักรเนปาล เรียก "ศรีปัญจพฑามหารานี" (เนปาลี: श्री ५ बडामहारानी, Śrī Pañca Badāmahārānī) ทั้งนี้ การปกครองประเทศเนปาลตามระบอบราชาธิปไตยนั้นได้ยกเลิกไปโดยมติของสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งเนปาลซึ่งให้เปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสาธารณรัฐตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
รายพระนามพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนปาล
ราชวงศ์ศาหะ
ที่ | พระนาม | รัชกาล | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
1 | สมเด็จพระราชาธิบดีปฤฐวีนารายณศาหะ (पृथ्वी नारायण शाह, Prithvi Narayan Shah, ปฤฺฐฺวี นารายณ ศาห) | 25 กันยายน 2311— 11 มกราคม 2318 | |
2 | สมเด็จพระราชาธิบดีประตาปสิงหศาหะ (प्रताप सिंह शाह, Pratap Singh Shah, ปรฺตาป สิงฺห ศาห) | 11 มกราคม 2318— 17 พฤศจิกายน 2320 | - |
3 | สมเด็จพระราชาธิบดีราณาพหาทูรศาหะ (राणा बहादुर शाह, Rana Bahadur Shah, ราณา พหาทูร ศาห) | 17 พฤศจิกายน 2320— 23 มีนาคม 2342 | - |
4 | สมเด็จพระราชาธิบดีคีรวันยุทธพิกรมศาหเทวะ (गिर्वन युद्धा बिक्रम शाह , Girvan Yuddha Bikram Shah Deva, คีรฺวน ยุทฺธา พิกรฺม ศาห เทว) | 23 มีนาคม 2342— 20 พฤศจิกายน 2329 | - |
5 | สมเด็จพระราชาธิบดีราเชนทรพิกรมศาหะ (राजेन्द्र बिक्रम शाह, Rajendra Bikram Shah, ราเชนฺทฺร พิกรฺม ศาห) | 20 พฤศจิกายน 2329— 12 พฤษภาคม 2390 | - |
6 | สมเด็จพระราชาธิบดีสุเรนทรพิกรมศาหะ (सुरेन्द्र बिक्रम शाह, Surendra Bikram Shah, สุเรนฺทฺร พิกรฺม ศาห) | 12 พฤษภาคม 2930—17 พฤษภาคม 2424 | - |
7 | สมเด็จพระราชาธิบดีปฤฐวีพีรพิกรมศาหะ (पृथ्वी वीर विक्रम शाहदेव, Prithvi Bir Bikram Shah, ปฤฺฐฺวี วีร วิกรฺม ศาหเทว) | 17 พฤษภาคม 2424— 11 ธันวาคม 2454 | - |
8 | สมเด็จพระราชาธิบดีตริภุวนพีรพิกรมศาหะ (त्रिभुवन वीर विक्रम शाहदेव, Tribhuvan Bir Bikram Shah, ตฺริภุวน วีร วิกรฺม ศาหเทว) | 11 ธันวาคม 2454—7 พฤศจิกายน 2493 (ครั้งที่หนึ่ง)7 มกราคม 2494— 13 มีนาคม 2498 (ครั้งที่สอง) | |
9 | สมเด็จพระราชาธิบดีคยาเนนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (ज्ञानेन्द्र वीर बिक्रम शाहदेव, Gyanendra Bir Bikram Shah Dev, ชฺญาเนนฺทฺร วีร พิกรฺม ศาหเทว) | 7 พฤศจิกายน 2493—7 มกราคม 2498 (ครั้งที่หนึ่ง)4 มิถุนายน 2544—28 พฤษภาคม 2551 (ครั้งที่สอง) | - |
10 | สมเด็จพระราชาธิบดีมเหนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (महेन्द्र वीर विक्रम शाह, Mahendra Bir Bikram Shah, มเหนฺทฺร วีร วิกรฺม ศาห) | 14 มีนาคม 2498—31 มกราคม 2515 | - |
11 | สมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (वीरेन्द्र वीर विक्रम शाहदेव, Birendra Bir Bikram Shah Dev, พีเรนฺทฺร วีร วิกรฺม ศาหเทว) | 31 มกราคม 2515— 1 มิถุนายน 2544 | - |
12 | สมเด็จพระราชาธิบดีทิเปนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (दिपेन्द्र वीर विक्रम शाहदेव, Dipendra Bir Bikram Shah Deva, ทิเปนฺทฺร วีร วิกรฺม ศาหเทว) | 1 มิถุนายน 2544— 4 มิถุนายน 2544 |
เหตุการณ์สังหารหมู่ราชวงศ์เนปาล พ.ศ. 2544
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์แห่งเนปาลขึ้นภายในพระราชวังในกรุงกาฐมาณฑุ เป็นผลให้กษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (Birendra Bir Bikram Shah Dev) และสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (Aiswarya) เสด็จสวรรคต พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์อีก 7 พระองค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกองค์สำคัญในราชวงศ์เนปาลทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวโลกตื่นตะลึง และยังความเศร้าโศกโกลาหลให้แก่ชาวเนปาลอย่างมหันต์
สำนักพระราชวังได้ประกาศสาเหตุของโศกนาฏกรรมว่า เกิดจากอุบัติเหตุพระแสงปืนลั่นโดยมกุฎราชกุมารดิเพนทรา (Dipentra) เป็นผู้ทำพระแสงปืนลั่นในขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์กำลังร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ก่อนที่องค์มกุฏราชกุมารจะทำพระแสงปืนลั่นถูกพระองค์เอง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักพระราชวังและแหล่งข่าวหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดจากการที่องค์มกุฏราชกุมาณทรงบันดาลโทสะในขณะทรงวิวาทกับพระราชมารดาเรื่องการที่องค์มกุฏราชกุมาร ทรงต้องการจะอภิเษกกับสตรีจากตระกูลรานา (Rana) และแหล่งข่าวอีกหลายกระแส ตั้งข้อสงสัยว่าองค์มกุฏราชกุมารทรงตกอยู่ในพระอาการมึนเมาจากน้ำจัณฑ์ (สุรา) และยาเสพติด
หลังจากจัดงานพระบรมศพเรียบร้อย ในวันที่ 3 มิถุนายน ทางการเนปาลก็ได้อันเชิญให้มกุฏราชกุมาร ดิเพนทรา ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา แต่ในวันเดียวกัน พระองค์ก็สวรรคตลงอีกพระองค์หนึ่ง ทำให้ทางการเนปาลต้องถวายการแต่งตั้งให้เจ้าชายคยาเนนทรา (Gyanendra) พระอนุชาของกษัตริย์พิเรนทรา ซึ่งมิได้ประทับในกาฐมาณฑุขณะเกิดโศกนาฏกรรม
การสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา ส่งผลให้การเมืองภายในประเทศของเนปาลเกิดความปั่นป่วนขึ้นเกือบจะในทันที ประชาชนจำนวนมากได้รวมตัวกันเป็นขบวนประท้วงไปตามถนนในกรุงกาฐมาณฑุ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสืบหาความจริงของโศกนาฏกรรมโดยด่วน ประชาชนที่กำลังโกรธแค้นได้ทำลายสาธารณสมบัติ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย ทำให้ทางการต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน ในขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับถูกสั่งปิดข้อหาลงข่าวที่ไม่เหมาะสม ขณะที่ผู้นำกลุ่มลัทธิเหมา (Maoist) นายประจันดา (Prachanda เป็นชื่อย่อจาก Pushpa Kamal Dahal) ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ฝ่ายซ้าย (leftist) ฝ่ายชาตินิยม (nationalist) และฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (republican) ร่วมกันตั้งรัฐบาลเฉพาะการณ์ขึ้นในระหว่างที่ประเทศกำลังระส่ำระสาย นอกจากนี้ นายมาดาว์ กุมาร เนปาล (Madhav Kumar Nepal) หัวหน้าพรรคแนวร่วมคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (Nepal Communist Party-United Marxist and Leninist : NCP-UML) ซึ่งเป็นฝ่ายค้านของเนปาลได้ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 14 มิถุนายน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อการสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา
สำนักพระราชวังได้ประกาศสาเหตุของโศกนาฏกรรมว่า เกิดจากอุบัติเหตุพระแสงปืนลั่นโดยมกุฎราชกุมารดิเพนทรา (Dipentra) เป็นผู้ทำพระแสงปืนลั่นในขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์กำลังร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ก่อนที่องค์มกุฏราชกุมารจะทำพระแสงปืนลั่นถูกพระองค์เอง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักพระราชวังและแหล่งข่าวหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดจากการที่องค์มกุฏราชกุมาณทรงบันดาลโทสะในขณะทรงวิวาทกับพระราชมารดาเรื่องการที่องค์มกุฏราชกุมาร ทรงต้องการจะอภิเษกกับสตรีจากตระกูลรานา (Rana) และแหล่งข่าวอีกหลายกระแส ตั้งข้อสงสัยว่าองค์มกุฏราชกุมารทรงตกอยู่ในพระอาการมึนเมาจากน้ำจัณฑ์ (สุรา) และยาเสพติด
หลังจากจัดงานพระบรมศพเรียบร้อย ในวันที่ 3 มิถุนายน ทางการเนปาลก็ได้อันเชิญให้มกุฏราชกุมาร ดิเพนทรา ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา แต่ในวันเดียวกัน พระองค์ก็สวรรคตลงอีกพระองค์หนึ่ง ทำให้ทางการเนปาลต้องถวายการแต่งตั้งให้เจ้าชายคยาเนนทรา (Gyanendra) พระอนุชาของกษัตริย์พิเรนทรา ซึ่งมิได้ประทับในกาฐมาณฑุขณะเกิดโศกนาฏกรรม
การสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา ส่งผลให้การเมืองภายในประเทศของเนปาลเกิดความปั่นป่วนขึ้นเกือบจะในทันที ประชาชนจำนวนมากได้รวมตัวกันเป็นขบวนประท้วงไปตามถนนในกรุงกาฐมาณฑุ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสืบหาความจริงของโศกนาฏกรรมโดยด่วน ประชาชนที่กำลังโกรธแค้นได้ทำลายสาธารณสมบัติ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย ทำให้ทางการต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน ในขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับถูกสั่งปิดข้อหาลงข่าวที่ไม่เหมาะสม ขณะที่ผู้นำกลุ่มลัทธิเหมา (Maoist) นายประจันดา (Prachanda เป็นชื่อย่อจาก Pushpa Kamal Dahal) ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ฝ่ายซ้าย (leftist) ฝ่ายชาตินิยม (nationalist) และฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (republican) ร่วมกันตั้งรัฐบาลเฉพาะการณ์ขึ้นในระหว่างที่ประเทศกำลังระส่ำระสาย นอกจากนี้ นายมาดาว์ กุมาร เนปาล (Madhav Kumar Nepal) หัวหน้าพรรคแนวร่วมคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (Nepal Communist Party-United Marxist and Leninist : NCP-UML) ซึ่งเป็นฝ่ายค้านของเนปาลได้ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 14 มิถุนายน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อการสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา
เหยื่อจากเหตุการณ์สังหารหมู่
ผู้เสียชีวิต
- สมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (พระชนก)
- สมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (พระชนนี)
- มกุฎราชกุมารทิเปนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (ภายหลังถูกยกเป็นพระมหากษัตริย์ ภายหลังจึงได้สวรรคตในเวลา 3 วัน)
- เจ้าฟ้าชายนิราชันพีรพิกรมศาหเทวะ (พระอนุชา)
- เจ้าฟ้าหญิงศรุติราชยลักษมีเทวีศาหะ (พระขนิษฐา)
- นายธีเปนทร ศาหะ (พระอนุชาในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทร ซึ่งถูกถอดพระอิสริยยศ)
- เจ้าฟ้าหญิงชยันตีราชยลักษมีเทวีศาหะ (พระญาติในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทร)
- เจ้าฟ้าหญิงศานติราชยลักษมีเทวีศาหะ (พระพี่นางในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทร)
- เจ้าฟ้าหญิงศารทราชยลักษมีเทวีศาหะ (พระพี่นางในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทร)
- นายกุมาร ขัทกะ (พระสวามีในเจ้าฟ้าหญิงศารท)
ผู้ได้รับบาดเจ็บ
- เจ้าฟ้าหญิงโศภาราชยลักษมีเทวีศาหะ (พระขนิษฐาในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทร)
- นายกุมาร โครัข (พระสวามีในเจ้าฟ้าหญิงศรุติ)
- เจ้าฟ้าหญิงโกมาลราชยลักษมีเทวีศาหะ (พระชายาในเจ้าฟ้าชายชญาเนนทร ภายหลังได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชินีแห่งเนปาลคนสุดท้าย)
- นายเคตากี เชสเตอร์ (พระญาติในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทร)
- เจ้าฟ้าชายปาราสพีรพิกรมศาหเทวะ (พระโอรสในเจ้าฟ้าชายชญาเนนทร ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมารภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของมกุฎราชกุมารทิเปนทร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น