สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก
เจ้าชายจิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์รัชกาลที่ 5
• พระนามของ “เจ้าชายจิกมี” ติดปากชาวไทยในคราวที่พระองค์เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549 ในฐานะที่เป็นเจ้าชายโสดผู้ทรงพระสิริโฉมและมีพระจริยวัตรงดงาม ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นพระราชอาคันตุกะที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดในหมู่ราชวงศ์ที่มาร่วมงาน จนเป็นที่ต้องตาต้องใจของชาวไทยโดยเฉพาะสุภาพสตรี
• พระนามเต็มของเจ้าชายจิกมี คือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก คนไทยเรียกพระนามท่านว่า “เจ้าชายจิกมี” ตามสื่อมวลชน แท้ที่จริง ชาวภูฏานเรียกท่านว่า “เจ้าชายเคซาร์” ซึ่ง จิกมี ชื่อหน้านั้นแปลว่า ผู้กล้าหาญ ส่วนชื่อหลังเป็นราชวงศ์ พระนาม “เคซาร์” ใช้เรียกพระนามของพระองค์ พระราชินี เชอริง เยนเดย์ วังชุก พระมารดาเคยอธิบายถึงชื่อของพระองค์ว่า “เคซาร์” เป็นชื่อของจอมทัพนักรบของชาวมองโกเลีย ดังนั้น เจ้าชายจิกมี ที่คนไทยนิยมเรียก หรือสื่อมวลชนต่างๆ นั้นเรียกขานกันผิด ที่ถูกต้องนั้นต้องเรียกว่า “เจ้าชายเคซาร์” ตามแบบชาวภูฏาน
พระราชประวัติ
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคซาร์ นัมเกล วังซุก พระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ทรงเป็นพระราชโอรสใน สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก และ สมเด็จพระราชินี อาชิ เชอริง ยางดน วังชุก ซึ่งเป็นพระมเหสีองค์ที่สาม สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ซึ่งมีพระนามว่า เจ้าหญิงอาชิ เดเชน ยังซัม และพระอนุชามีพระนามว่า เจ้าชาย ดาโช จิกมี ดอร์จิ วังชุก
• ภายหลังเจริญพระชันษา พระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ในระดับมัธยมศึกษาที่ คัชชิง อคาเดมี (Cushing Academy) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำสหศึกษาที่มีชื่อเสียงของมลรัฐแมสซาชูเซตส์ มีอายุกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีการสอนวิชาศิลปะใช้วิธีให้นักเรียนแสดงออกใช้ความคิดสร้างสรรค์ตามศักยภาพ ทั้งในศิลปะการแสดง การละคร ดนตรี งานออกแบบอัญมณี ตลอดจนถึงงานศิลปกรรมแขนงต่างๆ เช่น จิตรกรรม และ ทัศนศิลป์
• ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายเคซาร์ จึงโปรดศิลปะการวาดภาพ ถ่ายภาพ รวมทั้งการอ่านหนังสือและการกีฬา โปรดการยิงธนูตามแบบอย่างของชาวมองโกล และทรงชอบเล่นบาสเกตบอลเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน ก็ทรงได้รับการอบรมขนมธรรมเนียมพระราชสำนักและประเพณีวัฒนธรรมทางศาสนาของชาวภูฏาน
• ทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยวีตัน (Wheaton College) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์ในมลรัฐเดียวกัน ก่อนที่จะเสด็จมาศึกษาต่อปริญญาโท ในสาขาการทูต (Foreign Service Programme) และสาขาวิชาการเมืองที่ วิทยาลัยแม็กดาเลน (Magdalen College) มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในสหราชอาณาจักร
• ทรงสำเร็จหลักสูตรการป้องกันประเทศจากวิทยาลัยการทหารแห่งชาติ ประเทศอินเดีย และรัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระราชบิดาไปยังต่างแดนในหลายโอกาส และทรงเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมต่างๆ รวมไปจนถึงการศึกษา และองค์กรเศรษฐกิจหลายแห่ง
• มหาวิทยาลัยรังสิตได้ ทูลเกล้าถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ให้กับสมเด็จพระราชาธิบดี (เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชายมกุฎราชกุมาร) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2549
• มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ ทูลเกล้าถวายปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาส่งเสริมการเกษตร ให้กับสมเด็จพระราชาธิบดี นอกจากนี้พระองค์ยังส่งนักศึกษาและบุคคลสำคัญเข้ามาศึกษา ดูงาน และสัมมนาที่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประจำ
• สมเด็จพระราชาธิบดีเคเซอร์ เป็นหนึ่งในพระราชอาคันตุกะ ที่เสด็จทรงร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 11-20 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่กรุงเทพมหานคร ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นพระราชอาคันตุกะที่มีพระชนมายุน้อยที่สุด ในหมู่ราชวงศ์ที่มาร่วมงาน
• ตลอดระยะเวลาที่เจ้าชายเคซาร์ทรงประทับอยู่ที่เมืองไทยนั้น นอกเหนือจากทรงเข้าร่วมในพระราชพิธีฉลองราชสมบัติ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ในวันที่ 14 มิถุนายน ได้เสด็จไปยังพระตำหนักจักรีบงกช อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เพื่อทรงเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมี ต่อจากนั้นได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร
• ทรงเสด็จไปยังภูเก็ต ประทับที่รีสอร์ต อมันบุรี อำเภอถลาง เสด็จฯ ไปยังเกาะไม้ท่อน ทรงดำน้ำ เล่นเจ็ตสกี พาราเลซิ่ง และเล่นฟุตบอลชายหาดกับข้าราชบริพาร
• ทรงเสด็จเยี่ยม ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิโครงการหลวงที่วังประมวล กรุงเทพฯ
• เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงเสด็จเยือนประเทศไทยอีกครั้งเพื่อเสด็จเยี่ยมชมสวนดอกไม้ของภูฏาน ในงานพืชสวนโลกที่จัดขึ้นในเชียงใหม่
• ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯ และที่ประทับอยู่ในเมืองไทย พระองค์ได้รับการต้อนรับและการแสดงความชื่นชมจากคนไทย อย่างที่ไม่เคยมีเจ้าชายต่างแดนองค์ใดได้เคยได้รับมาก่อน ชาวไทยเพิ่งรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าชายจิกมีหรือเจ้าชายเคซาร์เมื่อเดินมิถนายน พ.ศ. 2549 มานี้นี่เอง ทั้งๆ ที่เจ้าชายจิกมี เคยเสด็จฯ มาประเทศไทยแล้ว 5-6 ครั้ง ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น
• ตลอดเวลาที่ทรงดำรงในฐานะมกุฏราชกุมาร พระองค์ยังได้ทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวมอย่างอดทนและรับผิดชอบ พระองค์จึงทรงเป็นแบบอย่างแก่วัยรุ่นภูฏาน ในขณะเดียวกัน แม้ได้โดยเสด็จไปยังชนบทแดนไกลเพื่อไต่ถามทุกข์สุข รับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งขอทราบความคิดเห็นของคนทั่วไปเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอาณาจักรภูฏานด้วย
• เจ้าชายเคซาร์ เสด็จฯ เยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก ตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดีย เข้าร่วมประชุมสหประชาชาติสมัยพิเศษ ว่าด้วยเรื่องเด็กในปี พ.ศ. 2445
• ปี พ.ศ. 2546 เสด็จฯ เยือนอินเดียครั้งที่สอง เพื่อก่อตั้งกองทุนร่วมอินเดีย-ภูฏาน
• ปี พ.ศ 2550 ทรงร่วมลงพระนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับประเทศอินเดียในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แทนฉบับเดิม ซึ่งคือฉบับ พ.ศ. 1949
• ภายในปี พ.ศ. 2551 หลังกษัตริย์ จิกมี ซิงเย วังชุก ผู้เป็นพระราชบิดา ทรงประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ พร้อมประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เหมือนดังเช่นประเทศไทย และเจ้าชายจิกมี เคซาร์ วังชุก มกุฏราชกุมา เป็นผู้ขึ้นสืบทอดบัลลังก์มังกรคำราม
• ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างแรกด้วยการพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันชาติของภูฎาน หลังจากนั้นประมาณสองปี ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 พระองค์ได้ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ ณ พระราชวังในกรุงทิมพู
• ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกที่จัดขึ้นในพระราชวังทาชิชโฮ ดซอง ในเมืองทิมพู โดยสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ทรงเป็นผู้ประกอบพระราชพิธี โดย พระราชทานมงกุฎไหมสีแดงดำแด่พระองค์ นอกจากนี้ยังมีนางซอนยา คานธี ประธานรัฐสภาของอินเดียเข้าร่วมในพิธีด้วย ทั้งนี้ พระองค์จะสืบบัลลังก์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก และยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดในโลก ด้วยพระชนมพรรษาเพียง 28 พรรษา และจะทรงปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตย
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงฉลองพระองค์สีแดงทองที่เป็นชุดคลุมยาวปิดเข่าอันเรียกกันว่า "โฆ" ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติของชายชาวภูฏาน ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองคำ พระพักตร์เคร่งขรึม แต่ก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยขณะทรงรับเครื่องถวายแด่สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ ใหม่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังทรงมีพระบรมราโชวาทแก่พสกนิกรหลายพันคนที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ในตอนบ่าย ของวันเดียวกันว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใด" "สิ่งที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้าคือความหวังและความมุ่งมาดปรารถนาของ ประชาชน และพระชนมายุอันยืนยาวและพระพลานามัยอันแข็งแรงสำหรับสมเด็จพระราชบิดา จิกมี ซิงเย วังชุก ของข้าพเจ้า ในโอกาสอันพิเศษยิ่งนี้ ขอให้ร่วมกันสวดมนต์และขออธิษฐานขอให้แสงตะวันเฉิดฉันแห่งความสุขจะสาดส่อง ลงมาที่ประเทศชาติของเราเสมอไป"
• นอกจากประชาชนหลายพันคนที่มารวมตัวกันถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งประกอบพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ยังมีแขกสำคัญที่ร่วมในพิธีดังกล่าวคือ ประธานาธิบดีประติภา ปาติลแห่งอินเดีย และนางโซเนีย คานธี นักการเมืองคนสำคัญของอินเดียพร้อมด้วยบุตรธิดา เนื่องจากครอบครัวคานธีนั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ภูฏาน
• มีการร่วมเฉลิมฉลองตามถนนหนทาง เล่นดนตรี มีการประดับประดาดอกไม้ตามศูนย์ต่างๆเพื่อแสดงการเฉลิมฉลองในโอกาสที่มี กษัตริย์พระองค์ใหม่ ตลอดจนมีการรายงานถึงความรู้สึกของพสกนิกรชาวภูฏานที่ทั้งต่างแสดงความดีใจ และสะเทือนใจในการสละราชสมบัติอย่างกระทันหันของพระราชบิดาไปพร้อมๆกัน
• “ความสุขมวลรวมของประชาชาติ สำคัญกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ” พระราชปณิธานของพระราชบิดายังคงดังก้องกังานไปในแผ่นดินภูฏาน นั่นหมายถึงว่า ในท่ามกลางกระแสคลื่นทุนนิยม บริโภคนิยม ประเทศภูฏานเปิดบ้านเปิดเมืองสู่โลกภายนอกมากขึ้น ชาวภูฏานในระดับผู้มีฐานะดี ต่างออกไปเล่าเรียนและแสวงหาความรู้จากประเทศทุนนิยมกันมากมาย จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ภูฏานจะดำรงความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้มากน้อยเพียงใด อีกทั้งจะเกิดช่องว่างทางวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ห่างไกลสุดเอื้อมในประเทศนี้หรือไม่
• ภูฏานประเทศที่มีศาสนาธรรมนำทาง มีเป้าหมายสร้างความสุขมวลรวมให้ประชาชาติมากกว่าการยึดถือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเป็นเป้าหมายแห่งความสำเร็จ จึงเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ท้าทายสำหรับกษัตริย์ในทศวรรษใหม่เป็นอย่างยิ่ง
• เจ้าฟ้าชาย ดาโช จิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก (พ.ศ. 2523-2547)
• เจ้าฟ้าชาย โชเซ เพนลป จิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน (พ.ศ. 2547-2549)
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (พ.ศ. 2549-ปัจจุบัน)
เจ้าชายจิกมี" จะเข้าพิธีอภิเสกสมรสกับนางสาวเจตซัน เปมาหญิงสามัญชนวัยเพียง 21 ปี ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ทำให้สื่อมวลชนของประเทศภูฏานตีพิมพ์เรื่องราว และประวัติของว่าที่พระราชินีแห่งกษัตริย์จิกมีเป็นการใหญ่
โดยนางสาวเจตซัน เปมา (Jetsun Pema) เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2533 ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 5 คนของนายโทนทับ ดียัลเซน (Dhondup Gyaltshen) และนางโซนัม สุกี (Sonam Chuki)
นางสาวเจตซัน เปมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนที่ประเทศภูฏาน ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อที่ลอว์เรนซ์ สคูล ในซานาวาร์ หิมาจัลประเทศ และที่เซนต์โจเซฟ คอนแวนต์ ในกาลิมพง ประเทศอินเดีย และขณะนี้กำลังศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรีเจนต์ คอลเลจในลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ยังได้ตรัสถึงว่าที่พระราชินีของพระองค์อย่างเป็นทางการว่า แม้ เจตซัน เปมา จะมีอายุน้อย แต่เธอเป็นผู้มีบุคลิกและจิตใจที่อบอุ่นอ่อนโยน มีเมตตา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เมื่อผนวกเข้ากับภูมิปัญญาที่เธอจะได้รับ ในอนาคตเมื่อเธอมีวัยวุฒิและสั่งสมประสบการณ์ได้มากขึ้น เธอจะข้ารับใช้ที่ดีของแผ่นดินภูฏาน
โดยนางสาวเจตซัน เปมา (Jetsun Pema) เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2533 ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 5 คนของนายโทนทับ ดียัลเซน (Dhondup Gyaltshen) และนางโซนัม สุกี (Sonam Chuki)
นางสาวเจตซัน เปมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนที่ประเทศภูฏาน ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อที่ลอว์เรนซ์ สคูล ในซานาวาร์ หิมาจัลประเทศ และที่เซนต์โจเซฟ คอนแวนต์ ในกาลิมพง ประเทศอินเดีย และขณะนี้กำลังศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรีเจนต์ คอลเลจในลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ยังได้ตรัสถึงว่าที่พระราชินีของพระองค์อย่างเป็นทางการว่า แม้ เจตซัน เปมา จะมีอายุน้อย แต่เธอเป็นผู้มีบุคลิกและจิตใจที่อบอุ่นอ่อนโยน มีเมตตา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เมื่อผนวกเข้ากับภูมิปัญญาที่เธอจะได้รับ ในอนาคตเมื่อเธอมีวัยวุฒิและสั่งสมประสบการณ์ได้มากขึ้น เธอจะข้ารับใช้ที่ดีของแผ่นดินภูฏาน
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับพระราชพิธีอภิเษกสมรสกษัตริย์จิกมี่ หรือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน กับบุตรสาวนักบินใหญ่ เจตซุน เปมา ซึ่งพระราชพิธีดังกล่าวก็เป็นไปอย่างชื่นมื่นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ท่ามกลางรอยยิ้มของพสกนิกรชาวภูฏานที่เข้าร่วมงานกว่า 30,000 คน
ล่าสุด สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสขึ้น ณ สนามกีฬากลางกรุงทิพมู ให้ประชาชนได้ยลโฉมพระราชินีองค์ใหม่กันอย่างเป็นทางการ หลังงานพิธีอีกครั้ง และพวกเขาก็ไม่ผิดหวัง เมื่อทั้งสองพระองค์ยืนเคียงคู่กันโดดเด่นที่สุดในงาน แถมกษัตริย์จิกมี่ยังทรงจุมพิตพระราชินีอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกอีกด้วย
โดยในพิธีเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสของกษัตริย์จิกมี่นั้น มีการแสดงระบำพื้นเมืองและศิลปะดนตรีประจำชาติภูฏานตั้งแต่เช้าไปจนถึงช่วงบ่าย ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมงานนับหมื่นคนที่นั่งอยู่เต็มอัฒจรรย์สนามกีฬากลาง ซึ่งในงานนี้ กษัตริย์จิกมี่ได้ทรงร่วมเต้นรำร่วมกับคณะนักแสดงด้วย แต่นั่นก็ยังไม่เรียกเสียงฮือฮาจากพสกนิกร เท่ากับวินาทีที่ทรงได้รับการร้องขอให้แสดงความรักต่อพระราชินีเจตซุน เปมา ด้วยการจุมพิต และทำให้พสกนิกรต่างยิ้มกว้างกับภาพที่ได้เห็น ขณะที่กษัตริย์จิ๊กมีก็ทรงมีท่าทีเขินอายเป็นอย่างมาก ส่วนบรรยากาศในงานจะเป็นไปด้วยรอยยิ้มอย่างไรนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมขอรวบรวมภาพบรรยากาศจากงานเฉลิมฉลองพิธีอภิเษกสมรสในวันนั้นมาฝากกันค่ะ
ภูฏาน
เตรียมถ่ายทอดสดพิธีอภิเษกสมรส กษัตริย์จิกมี
ภูฏาน
เตรียมถ่ายทอดสดพิธีอภิเษกสมรส กษัตริย์จิกมี
โทรทัศน์ภูฏาน ถ่ายทอดสด พระราชพิธีอภิเษกสมรส
"กษัตริย์จิกมี" ทั่วประเทศ
พร้อมงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่
พระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน และเป็นกษัตริย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกกับ น.ส.เจตซุน เปมา วัย 21 ปี บุตรสาวนักบินใหญ่ ครอบครัวชนชั้นสูงของประเทศ ในวันนี้ หลังการประกาศหมั้นหมายกันมา ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
ล่าสุดสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน พร้อมด้วย นางสาวเจตซุน เปมา เจ้าสาว เดินทางถึงศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ในเมืองพูนาคา ซอง (Punakha Dzong) สถานที่ใช้ในการประกอบพิธีอภิเษกสมรส โดยในพิธีประกอบด้วย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก พระบิดา พร้อมด้วยพระมเหสีทั้ง 4 พระองค์ , เจ้าบ่าว-เจ้าสาว และพระสังฆราช หรือ เจเคนโป (Je Khenpo) และห้ามมิให้สื่อมวลชน เข้าทำข่าวเกินกว่าสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ รวมถึงห้ามประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
ถึงแม้ว่าเจ้าสาวจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปห้องโถงภายในศาลเจ้าที่ใช้ในการประกอบพิธี แต่นางสาวเปมา ได้ทำพิธีหมอบกราบอยู่ด้านนอก เพื่อขอพรจาก "ซับดรุง งาวัง นัมเยล" ลามะองค์สำคัญของภูฏาน ในสมัยศตวรรษที่ 17 ท่ามกลางงานพิธีที่เต็มไปด้วยข้าราชการที่สวมโก (Gho) ชุดประจำชาติที่ของภูฏาน
นางสาวเจตซัน เปมา ขณะนี้ขึ้นดำรงตำแหน่ง พระราชินีองค์ใหม่แห่งราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการแล้ว หลังเข้าพิธีอภิเษกสมรส กับ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์ผู้เป็นที่รักของชาวภูฏานทั้งประเทศ จนได้รับการขนานนามว่า "ดรากอน คิง" โดยหลังจากนี้ไป จะมีการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง 3 วัน พร้อมด้วยงานรื่นเริ่งต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ด้านสถานีโทรทัศน์ภูฏาน ได้ทำการถ่ายสดพระราชาพิธีไปทั่วประเทศ เฉกเช่นงานพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียม ขณะที่ทั่วประเทศได้เตรียมความพร้อมด้วยการประดับประดาไฟ ธงชาติ และรูปคู่ของคู่รักกษัตริย์ ไปทั่วประเทศ ขณะที่ชาวภูฏานเองก็รู้สึกตื่นเต้น ยินดี และต่างรอคอยงานพระราชพิธีที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และจะมีงานเฉลิมฉลอง ติดต่อกันถึง 3 วัน 3 คืน
ทั้งนี้ งานพระราชพิธีอภิเษกสมรส มีขึ้นที่เมืองพูนาคา ซอง (Punakha Dzong) เมืองหลวงเก่าของประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณทางศาสนาและร่องรอยทางวัฒนธรรม
พระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน และเป็นกษัตริย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกกับ น.ส.เจตซุน เปมา วัย 21 ปี บุตรสาวนักบินใหญ่ ครอบครัวชนชั้นสูงของประเทศ ในวันนี้ หลังการประกาศหมั้นหมายกันมา ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
ล่าสุดสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน พร้อมด้วย นางสาวเจตซุน เปมา เจ้าสาว เดินทางถึงศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ในเมืองพูนาคา ซอง (Punakha Dzong) สถานที่ใช้ในการประกอบพิธีอภิเษกสมรส โดยในพิธีประกอบด้วย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก พระบิดา พร้อมด้วยพระมเหสีทั้ง 4 พระองค์ , เจ้าบ่าว-เจ้าสาว และพระสังฆราช หรือ เจเคนโป (Je Khenpo) และห้ามมิให้สื่อมวลชน เข้าทำข่าวเกินกว่าสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ รวมถึงห้ามประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
ถึงแม้ว่าเจ้าสาวจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปห้องโถงภายในศาลเจ้าที่ใช้ในการประกอบพิธี แต่นางสาวเปมา ได้ทำพิธีหมอบกราบอยู่ด้านนอก เพื่อขอพรจาก "ซับดรุง งาวัง นัมเยล" ลามะองค์สำคัญของภูฏาน ในสมัยศตวรรษที่ 17 ท่ามกลางงานพิธีที่เต็มไปด้วยข้าราชการที่สวมโก (Gho) ชุดประจำชาติที่ของภูฏาน
นางสาวเจตซัน เปมา ขณะนี้ขึ้นดำรงตำแหน่ง พระราชินีองค์ใหม่แห่งราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการแล้ว หลังเข้าพิธีอภิเษกสมรส กับ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์ผู้เป็นที่รักของชาวภูฏานทั้งประเทศ จนได้รับการขนานนามว่า "ดรากอน คิง" โดยหลังจากนี้ไป จะมีการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง 3 วัน พร้อมด้วยงานรื่นเริ่งต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ด้านสถานีโทรทัศน์ภูฏาน ได้ทำการถ่ายสดพระราชาพิธีไปทั่วประเทศ เฉกเช่นงานพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียม ขณะที่ทั่วประเทศได้เตรียมความพร้อมด้วยการประดับประดาไฟ ธงชาติ และรูปคู่ของคู่รักกษัตริย์ ไปทั่วประเทศ ขณะที่ชาวภูฏานเองก็รู้สึกตื่นเต้น ยินดี และต่างรอคอยงานพระราชพิธีที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และจะมีงานเฉลิมฉลอง ติดต่อกันถึง 3 วัน 3 คืน
ทั้งนี้ งานพระราชพิธีอภิเษกสมรส มีขึ้นที่เมืองพูนาคา ซอง (Punakha Dzong) เมืองหลวงเก่าของประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณทางศาสนาและร่องรอยทางวัฒนธรรม
กลายเป็นข่าวมงคลที่มีผู้คนทั่วโลกติดตาม
และร่วมยินดีมากที่สุดข่าวหนึ่ง หลังจากสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล
วังชุก หรือที่คนไทยรู้จักในพระนาม "เจ้าชายจิกมี"
จะเข้าพิธีอภิเสกสมรสกับนางสาวเจตซัน เปมาหญิงสามัญชนวัยเพียง 21 ปี
ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ทำให้สื่อมวลชนของประเทศภูฏานตีพิมพ์เรื่องราว
และประวัติของว่าที่พระราชินีแห่งกษัตริย์จิกมีเป็นการใหญ่
โดยนางสาวเจตซัน เปมา (Jetsun Pema) เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2533 ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 5 คนของนายโทนทับ ดียัลเซน (Dhondup Gyaltshen) และนางโซนัม สุกี (Sonam Chuki)
นางสาวเจตซัน เปมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนที่ประเทศภูฏาน ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อที่ลอว์เรนซ์ สคูล ในซานาวาร์ หิมาจัลประเทศ และที่เซนต์โจเซฟ คอนแวนต์ ในกาลิมพง ประเทศอินเดีย และขณะนี้กำลังศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรีเจนต์ คอลเลจในลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ยังได้ตรัสถึงว่าที่พระราชินีของพระองค์อย่างเป็นทางการว่า แม้ เจตซัน เปมา จะมีอายุน้อย แต่เธอเป็นผู้มีบุคลิกและจิตใจที่อบอุ่นอ่อนโยน มีเมตตา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เมื่อผนวกเข้ากับภูมิปัญญาที่เธอจะได้รับ ในอนาคตเมื่อเธอมีวัยวุฒิและสั่งสมประสบการณ์ได้มากขึ้น เธอจะข้ารับใช้ที่ดีของแผ่นดินภูฏาน
ขณะที่นายอูเกน นิดับ (Ugyen Nidup) องครักษ์ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งเดินทางมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรังสิต ประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ชาวภูฏานทุกคนรู้สึกปลาบปลื้มและตื่นเต้นกับข่าวดีนี้เป็นอย่างมาก และเฝ้ารอคอยพิธีอภิเษกสมรสครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้ชาวภูฏานภาคภูมิใจ
โดยนางสาวเจตซัน เปมา (Jetsun Pema) เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2533 ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 5 คนของนายโทนทับ ดียัลเซน (Dhondup Gyaltshen) และนางโซนัม สุกี (Sonam Chuki)
นางสาวเจตซัน เปมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนที่ประเทศภูฏาน ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อที่ลอว์เรนซ์ สคูล ในซานาวาร์ หิมาจัลประเทศ และที่เซนต์โจเซฟ คอนแวนต์ ในกาลิมพง ประเทศอินเดีย และขณะนี้กำลังศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรีเจนต์ คอลเลจในลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ยังได้ตรัสถึงว่าที่พระราชินีของพระองค์อย่างเป็นทางการว่า แม้ เจตซัน เปมา จะมีอายุน้อย แต่เธอเป็นผู้มีบุคลิกและจิตใจที่อบอุ่นอ่อนโยน มีเมตตา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เมื่อผนวกเข้ากับภูมิปัญญาที่เธอจะได้รับ ในอนาคตเมื่อเธอมีวัยวุฒิและสั่งสมประสบการณ์ได้มากขึ้น เธอจะข้ารับใช้ที่ดีของแผ่นดินภูฏาน
ขณะที่นายอูเกน นิดับ (Ugyen Nidup) องครักษ์ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งเดินทางมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรังสิต ประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ชาวภูฏานทุกคนรู้สึกปลาบปลื้มและตื่นเต้นกับข่าวดีนี้เป็นอย่างมาก และเฝ้ารอคอยพิธีอภิเษกสมรสครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้ชาวภูฏานภาคภูมิใจ
[20 พฤษภาคม] เจ้าชายจิกมี แต่งงาน หญิงสามัญชน ตุลาคมนี้
สำนักข่าวเอเอฟพี (AFP) รายงานเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์แห่งภูฏาน พระชนมายุ 31 พรรษา ทรงประกาศหมั้นหญิงสามัญชน และจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสในเดือนตุลาคมนี้
รายงานระบุว่า ข่าวดีดังกล่าวถูกเปิดเผยขึ้นโดย ดาโซ คินลีย์ ดอร์จี เลขานุการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งภูฏาน โดยเธอได้เล่าว่า เจ้าชายจิกมี่ ทรงเปิดเผยข่าวดีนี้ ในช่วงเปิดการประชุมสภาว่า พระองค์ทรงหมั้นและกำลังจะมีพิธีอภิเษกสมรสในเดือนตุลาคมนี้ โดยหญิงสาวผู้โชคดีที่กำลังจะเป็นพระมเหสีของเจ้าชายจิกมี่ เป็นหญิงสาวสามัญชน นามว่า เจตซัน เปมา ชาวภูฎาน วัย 21 ปี
ซึ่งพระกระแสรับสั่งของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ดังกล่าวมีดังนี้ "ข้าพเจ้าคิดมานานแล้ว และตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องแต่งงาน เหล่าพสกนิกรของข้าพเจ้าคาดหวังไว้ว่าผู้ที่จะมาเป็นราชินีในอนาคตของพวกเขาจะต้องสวยสง่า เพรียบพร้อมสมบูรณ์แบบ มีการศึกษาที่ดี ซึ่ง เจตซัน เปมา คนรักของข้าพเจ้านั้น เป็นผู้หญิงที่มีหัวใจที่งดงาม จิตใจดี และพร้อมที่จะสนับสนุนข้าพเจ้าในทุก ๆ เรื่อง และเป็นคนที่ข้าพเจ้าไว้วางใจมาก ข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้ว่าเหล่าพสกนิกรจะพูดถึงเธอว่าอย่างไรกันบ้าง แต่ข้าพเจ้าบอกได้เพียงว่า เจตซัน เปมา มีคุณสมบัติที่เพรียบพร้อมเท่าที่สตรีคนหนึ่งพึงมี"
สำหรับ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก เสด็จพระราชสมภพเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก และ สมเด็จพระราชินี อาชิ เชอริง ยางดน วังชุก
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 โดยในขณะนั้น พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดในโลก แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็ทรงได้รับการยกย่องจากชาวภูฏานรวมถึงชาวไทยส่วนใหญ่ว่าทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า จากการที่ทรงวางพระองค์อย่างเป็นกันเองในหมู่ประชาชน จึงสร้างความประทับใจแก่พสกนิกรอย่างสูง ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ต้องทรงรับพระราชภารกิจการบริหารประเทศ เนื่องจากสมเด็จพระราชบิดาได้ทรงวางระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว แต่พระองค์เองก็ยังทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ในการสร้างเอกภาพและเสถียรภาพ ในประเทศที่มีประชากรเพียง 650,000 คน โดยมุ่งเน้นด้านความสุขมวลรวมของประชากรภายในประเทศเป็นสำคัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น